› 日本が好き › 2015年08月
2015年08月31日
เที่ยว Hamamatsu
ช่วงที่ไปอบรมครูภาษาญี่ปุ่นที่ จังหวัด Shizuoka นั้น วันธรรมดาคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะต้องเข้าอบรมที่โรงเรียนตั้งแต่เวลา 8.00 น.ถึง 17.00 น. ไม่มีเวลาแว่บไปไหนเลย แต่โชคดีหยุดวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ก็ได้แอบหนีไปเที่ยวที่ Hamamatsu ค่ะ
เมืองฮามามัตสึ (HAMAMATSU) เป็นเมืองที่มีประ วัติศาตร์ยาวนานมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตัวเมืองถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร แม่น้ำ ภูเขา และทะเลสาบที่สวยงาม อยู่เกือบกึ่งกลางระหว่างโตเกียว (TOKYO) และโอซะกะ (OSAKA)
เมืองฮามามัตสึ เป็นเมืองที่ได้รับแสงอาทิตย์มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ เมืองฮามามัตสึจึงเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างดีและอุณหภูมิทีไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นไม้และ ดอกไม้ แล้วอาหารก็อร่อย เช่น ปลาไหลย่าง เกี๊ยวซ่าฮะมะมัตสึ เมืองนี้อาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดที่จะแวะเยี่ยมชมก่อนหรือหลังที่จะไปเที่ยวภูเขาฟูจิ (FUJISAN)
ฉันจะนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Fukuroi ไปยังสถานี Hamamatsu ประมาณ 30 นาที เมื่อออกจากสถานี Hamamatsu ก็ตื่นตาตื่นใจกับการตกแต่งบริเวณหน้าสถานีด้วยดอกไม้ที่สวยงามมาก
แล้วบริเวณสถานีก็พบอาคารชื่อว่า Act City Tower ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของสถานีรถไฟ เป็นตึกสูงเสียดฟ้า และถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ อาคารนี้เป็นหนึ่งเดียวที่สูง ที่สุดในภูมิภาคนี้ มีทั้งหมด 45 ชั้น ซึ่งมีความสูง 212.8 m มีเฉลียงเป็นจุดชมวิว อยู่ชั้นบน ซึ้งมีความ สูงจากพื้นดิน 185 m เป็นจุดที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว และคนในท้องถิ่นเป็นอย่างดี จากจุดชมวิวนี้จะมองเห็นวิวมหาสมุทรแปซิฟิกไปถึงภูเขาฟูจิได้ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง
แล้วที่ตึกนี้ก็จะใช้เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตด้วย ฉันมีโอกาสได้เข้าไปชมคอนเสิร์ตเพลงคลาสิคด้วยค่ะ
เป็นการดูและฟังคอนเสิร์ตเพลงคลาสิคเป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ เพลงไพเราะดีค่ะ แต่เป็นเพราะไปชมตอนหลังกินอาหารกลางวันหรือเปล่า ช่วงแรกของคอนเสิร์ตแอบหลับไปนิดนึง
แต่ก่อนคอนเสิร์ติเริ่ม ถือว่าได้รับเกียรติเป็นอย่างมากได้รับเชิญไปพบนักดนตรีและวาทยากรชื่อดังของญี่ปุ่นด้านหลังเวทีด้วยค่ะ นี่เป็นเวทีที่มีนักดนตรีชื่อดังมาแสดงมากมาย ที่บริเวณกำแพงมีลายเซ็นต์ของนักดนตรีชื่อดังด้วยค่ะ แอบถ่ายมาด้วย แต่ไม่ค่อยชัดเท่าไร มืดเล็กน้อย
ภาพด้านข้างเวที
หลังจากชมคอนเสิร์ตแล้ว ท่านประธานโรงเรียนพาไปชมนิทรรศการจัดดอกไม้ญี่ปุ่นด้วยค่ะ ที่เรียกกันว่า "Ikebana" มีรูปแบบการจัดมากมาย ละลานตาไปหมดเลยค่ะ
แล้วการตะลุย Hamamatsu ครั้งแรกก็จบลงด้วยการชม Ikebana
เมืองฮามามัตสึ (HAMAMATSU) เป็นเมืองที่มีประ วัติศาตร์ยาวนานมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตัวเมืองถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร แม่น้ำ ภูเขา และทะเลสาบที่สวยงาม อยู่เกือบกึ่งกลางระหว่างโตเกียว (TOKYO) และโอซะกะ (OSAKA)
เมืองฮามามัตสึ เป็นเมืองที่ได้รับแสงอาทิตย์มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ เมืองฮามามัตสึจึงเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างดีและอุณหภูมิทีไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นไม้และ ดอกไม้ แล้วอาหารก็อร่อย เช่น ปลาไหลย่าง เกี๊ยวซ่าฮะมะมัตสึ เมืองนี้อาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดที่จะแวะเยี่ยมชมก่อนหรือหลังที่จะไปเที่ยวภูเขาฟูจิ (FUJISAN)
ฉันจะนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Fukuroi ไปยังสถานี Hamamatsu ประมาณ 30 นาที เมื่อออกจากสถานี Hamamatsu ก็ตื่นตาตื่นใจกับการตกแต่งบริเวณหน้าสถานีด้วยดอกไม้ที่สวยงามมาก
แล้วบริเวณสถานีก็พบอาคารชื่อว่า Act City Tower ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของสถานีรถไฟ เป็นตึกสูงเสียดฟ้า และถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ อาคารนี้เป็นหนึ่งเดียวที่สูง ที่สุดในภูมิภาคนี้ มีทั้งหมด 45 ชั้น ซึ่งมีความสูง 212.8 m มีเฉลียงเป็นจุดชมวิว อยู่ชั้นบน ซึ้งมีความ สูงจากพื้นดิน 185 m เป็นจุดที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว และคนในท้องถิ่นเป็นอย่างดี จากจุดชมวิวนี้จะมองเห็นวิวมหาสมุทรแปซิฟิกไปถึงภูเขาฟูจิได้ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง
แล้วที่ตึกนี้ก็จะใช้เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตด้วย ฉันมีโอกาสได้เข้าไปชมคอนเสิร์ตเพลงคลาสิคด้วยค่ะ
เป็นการดูและฟังคอนเสิร์ตเพลงคลาสิคเป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ เพลงไพเราะดีค่ะ แต่เป็นเพราะไปชมตอนหลังกินอาหารกลางวันหรือเปล่า ช่วงแรกของคอนเสิร์ตแอบหลับไปนิดนึง
แต่ก่อนคอนเสิร์ติเริ่ม ถือว่าได้รับเกียรติเป็นอย่างมากได้รับเชิญไปพบนักดนตรีและวาทยากรชื่อดังของญี่ปุ่นด้านหลังเวทีด้วยค่ะ นี่เป็นเวทีที่มีนักดนตรีชื่อดังมาแสดงมากมาย ที่บริเวณกำแพงมีลายเซ็นต์ของนักดนตรีชื่อดังด้วยค่ะ แอบถ่ายมาด้วย แต่ไม่ค่อยชัดเท่าไร มืดเล็กน้อย
ภาพด้านข้างเวที
หลังจากชมคอนเสิร์ตแล้ว ท่านประธานโรงเรียนพาไปชมนิทรรศการจัดดอกไม้ญี่ปุ่นด้วยค่ะ ที่เรียกกันว่า "Ikebana" มีรูปแบบการจัดมากมาย ละลานตาไปหมดเลยค่ะ
แล้วการตะลุย Hamamatsu ครั้งแรกก็จบลงด้วยการชม Ikebana
Posted by mod at
20:12
│Comments(0)
2015年08月28日
เช้าวันที่ 2 ในบ้าน さきさん
เช้าวันที่ 2 ของการอยู่ที่บ้านของ さきさん ฉันก็รีบตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาแปรงฟันแล้วก็อาบน้ำ ลงมาช่วย さきさん เตรียมอาหารเช้า แต่ส่วนใหญ่ さきさん จะเป็นคนทำค่ะ ฉันคอยเป็นลูกมือ หั่นผัก ล้างจานเสียส่วนใหญ่ ข้างๆ อ่างล้างจานจะมีตู้ปลาทองที่เป็นสัตว์เลี้ยงหนึ่งเดียวของบ้าน แถมมันอยู่ตัวเดียวด้วย เพราะเพื่อนของมันชิงตายไปเสียก่อน แต่มันก็อยู่ได้นะ เห็นซากิซังบอกว่ามันอยู่มาตัวเดียวนาน 4 เดือนแล้ว
เช้าวันนั้นก็ทานอาหารเช้าเป็นอาหารญีปุ่น มีปลาย่างกับซุปมิโซะ
หลังทานอาหารเช้า ก็มาล้างจานกัน ที่เมืองไทยฉันเคยแต่ล้างจานแบบใช้มือล้าง "手洗い" ก็เลยดูเหมือนตื่นตาตื่นใจกับเครื่องล้างจาน ซึ่งบางคนอาจคิดว่าก็แค่เครื่องล้างจานประเทศไทยก็มี แต่เผอิญที่บ้านฉันไม่มี ก็เลยตื่นเต้น ขั้นแรกก็ล้างสิ่งสกปรกออกก่อนด้วยมือ แล้วนำจานที่จะล้างวางเรียงให้เป็นระเบียบในเครื่อง แล้วใส่น้ำยาทำความสะอาด ปิดตู้ กดปุ่มตั้งเวลา 90 นาทีแล้วมานั่งรอเครื่องล้างเสร็จ ค่อยเช็ดเก็บใส่ตู้
แต่วันนั้นอากาศตอนเช้าไม่ค่อยดีเท่าไร ฝนตก ช่วงเช้าก็เลยนั่งเล่นกันอยู่ที่บ้าน ซากิซังเหนี่อยก็เลยขอไปงีบหลับเล็กน้อย ส่วนฉันก็ดูทีวีบ้าง อ่านการ์ตูนของลูกชายซากิซังบ้าง ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนอยู่บ้านสบายๆ
ขอย้อนไปที่ห้องครัวนิดนึงค่ะ ห้องครัวเล็กกะทัดรัดดีคะ
ส่วนบริเวณนี้เป็นโซฟานั่งเล่นค่ะ
เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านน่ารักมากเลยค่ะ นี่แหละบ้านในฝันของฉัน
เช้าวันนั้นก็ทานอาหารเช้าเป็นอาหารญีปุ่น มีปลาย่างกับซุปมิโซะ
หลังทานอาหารเช้า ก็มาล้างจานกัน ที่เมืองไทยฉันเคยแต่ล้างจานแบบใช้มือล้าง "手洗い" ก็เลยดูเหมือนตื่นตาตื่นใจกับเครื่องล้างจาน ซึ่งบางคนอาจคิดว่าก็แค่เครื่องล้างจานประเทศไทยก็มี แต่เผอิญที่บ้านฉันไม่มี ก็เลยตื่นเต้น ขั้นแรกก็ล้างสิ่งสกปรกออกก่อนด้วยมือ แล้วนำจานที่จะล้างวางเรียงให้เป็นระเบียบในเครื่อง แล้วใส่น้ำยาทำความสะอาด ปิดตู้ กดปุ่มตั้งเวลา 90 นาทีแล้วมานั่งรอเครื่องล้างเสร็จ ค่อยเช็ดเก็บใส่ตู้
แต่วันนั้นอากาศตอนเช้าไม่ค่อยดีเท่าไร ฝนตก ช่วงเช้าก็เลยนั่งเล่นกันอยู่ที่บ้าน ซากิซังเหนี่อยก็เลยขอไปงีบหลับเล็กน้อย ส่วนฉันก็ดูทีวีบ้าง อ่านการ์ตูนของลูกชายซากิซังบ้าง ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนอยู่บ้านสบายๆ
ขอย้อนไปที่ห้องครัวนิดนึงค่ะ ห้องครัวเล็กกะทัดรัดดีคะ
ส่วนบริเวณนี้เป็นโซฟานั่งเล่นค่ะ
เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านน่ารักมากเลยค่ะ นี่แหละบ้านในฝันของฉัน
Posted by mod at
19:48
│Comments(0)
2015年08月28日
คืนแรกในบ้าน さきさん
เมื่อวานเล่าถึงแกลลอรี่ของ さきさん ไปแล้ว คราวนี้มาพามาเยี่ยมชมบ้านกันบ้าง บ้านของ さきさん เป็นบ้านหลังเล็กๆ น่ารักมากเลยคะ
บริเวณประตูหน้าบ้าน
มีดอกไม้ปลูกหน้าบ้านด้วยค่ะ
อันนี้แอบถ่ายตอนเช้าค่ะ จริงๆ แล้วไปถึงบ้าน さきさん ตอนค่ำๆ ของวันศุกร์หลังจากดูการเรียนการสอนที่โรงเรียนเสร็จแล้ว ท่านประธานโรงเรียนขับรถพาไปส่งถึงบ้าน さきさん เลยค่ะ แล้วคืนนั้นเขาก็เลี้ยงอาหารค่ำเป็นแกงกะหรี่คะ อร่อยมากๆ หลังจากนั้นก็เสิร์ฟชานมร้อนที่ใส่ขิงฝนละเอียดลงไปด้วย เป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ไม่เคยดื่มมาก่อนเลย อร่อยอีกแล้วค่ะ มีขิงใส่ลงไปด้วยก็ช่วยให้อาหารย่อยดีนะคะ เดี๋ยวจะลองทำดื่มเองที่ไทยบ้าง
หลังจากดื่มชาร้อนเสร็จก็ราวๆ 2 ทุ่ม ท่านประธานบริษัทก็ขอลากลับ ลึกๆ ฉันเองก็แบบใจหาย นี่ฉันต้องอยู่กับคนไม่รู้จักจริงๆ เหรอเนี่ย แต่ก็ต้องอยู่แล้ว さきさん ก็พาขึ้นไปบนห้องนอน แล้วก็เตรียมน้ำร้อนให้อาบ คืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี นอนหลับสบายมากเลยค่ะ หลังจากลงโอฟุโระแล้ว
บริเวณประตูหน้าบ้าน
มีดอกไม้ปลูกหน้าบ้านด้วยค่ะ
อันนี้แอบถ่ายตอนเช้าค่ะ จริงๆ แล้วไปถึงบ้าน さきさん ตอนค่ำๆ ของวันศุกร์หลังจากดูการเรียนการสอนที่โรงเรียนเสร็จแล้ว ท่านประธานโรงเรียนขับรถพาไปส่งถึงบ้าน さきさん เลยค่ะ แล้วคืนนั้นเขาก็เลี้ยงอาหารค่ำเป็นแกงกะหรี่คะ อร่อยมากๆ หลังจากนั้นก็เสิร์ฟชานมร้อนที่ใส่ขิงฝนละเอียดลงไปด้วย เป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ไม่เคยดื่มมาก่อนเลย อร่อยอีกแล้วค่ะ มีขิงใส่ลงไปด้วยก็ช่วยให้อาหารย่อยดีนะคะ เดี๋ยวจะลองทำดื่มเองที่ไทยบ้าง
หลังจากดื่มชาร้อนเสร็จก็ราวๆ 2 ทุ่ม ท่านประธานบริษัทก็ขอลากลับ ลึกๆ ฉันเองก็แบบใจหาย นี่ฉันต้องอยู่กับคนไม่รู้จักจริงๆ เหรอเนี่ย แต่ก็ต้องอยู่แล้ว さきさん ก็พาขึ้นไปบนห้องนอน แล้วก็เตรียมน้ำร้อนให้อาบ คืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี นอนหลับสบายมากเลยค่ะ หลังจากลงโอฟุโระแล้ว
Posted by mod at
19:15
│Comments(0)
2015年08月27日
のら猫
นี่คือแมวที่อยู่ที่โรงเรียน แต่มันไม่น่าจะมีบ้านอยู่ แต่อาจารย์จะคอยให้อาหาร แบบนี้เราจะเรียกว่า แมวจรจัดได้มัยนะ แต่มันก็น่ารักนะ มันจะคอยเป็นเพื่อนฉันเสมอยามเช้า ตอนฉันต้องนั่งรออาจารย์ญี่ปุ่นมาเปิดโรงเรียน
Posted by mod at
20:40
│Comments(0)
2015年08月27日
鈴木さん
วันนี้เรามาคุยกันถึงชื่อสกุลของคนญี่ปุ่นกัน ชื่อสกุลที่ใช้กันมากในคนญี่ปุ่นคือ
No.1.佐藤 Sato
No.2.鈴木 Suzuki
No.3.高橋 Takahashi
ต้องบอกเลยว่าเยอะจริงๆ ตอนฉันไปอยู่ญี่ปุ่นครั้งแรกตอนเป็นนักเรียนนั้นในที่ทำงานพิเศษ (アルバイト先)ก็มี 2 คน พอเรียก 佐藤さん ก็หันมาพร้อมกัน 2 คนเลย ทีนี้ก็เลยต้องเรียกชื่อตัว 1 คน ก็เป็น 佐藤さん 1 คน เป็น 武さん(takeshi san) อีก 1 คน
คราวนี้ตอนไปอบรมครูสอนภาษาญี่ปุ่นก็เจอเป็น 鈴木さんอีก แหมช่างเป็นชื่อสกุลที่เยอะจริงๆ 1 คนเป็นประธานของโรงเรียนที่ไปอบรม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นโฮสแฟมิลี่ที่ไปอยู่ด้วย ทางโฮสแฟมิลี่ก็ใจดีให้เรียกชื่อเป็น さきさん แทนจะได้ไม่สับสน ครอบครัว さきさん ใจดีมากเลยค่ะ ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมด 4 คน มี さきさん, สามีของ さきさん และลูกชายอีก 2 คน แต่ตอนนี้ さきさん อยู่กันกับสามี 2 คนเพราะลูกชายไปเรียนต่อที่โตเกียว さきさんก็เลยอนุญาตให้ฉันนอนที่หอ้งลูกชาย ต้องขอบคุณ さきさん มากๆ เลยค่ะ
แอบถ่ายกับห้องนอนลูกชายนิดนึง
ตอนกลางคืนไม่รู้จะทำอะไรเหงาๆ ก็เลย ขอเอาการ์ตูนของลูกชาย さきさん มาอ่าน สนุกดี แต่เป็นการ์ตูนผู้ชายก็มันไปอีกแบบ
さきさん เป็นคนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากเลยค่ะ ก่อนแต่งงานเคยมาบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลาถึง 1 ปีเลยค่ะ แล้วก็ชอบวาดภาพเกี่ยวกับศาสนา ลวดลายแบบแนวพุทธด้วยค่ะ ขนาดว่ามีแกลอลี่เป็นของตัวเองเลยทีเดียว
ทางเข้าแกลอลี่ของ さきさん
บรรยากาศภายในแกลลอรี่ค่ะ
ข้างๆ แกลลอรี่ยังมีร้านขายเทียนหอมด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
เดี๋ยวไว้คราวหน้าจะเอารูปผู้หญิงใจดีมาให้ดูกันนะคะ
No.1.佐藤 Sato
No.2.鈴木 Suzuki
No.3.高橋 Takahashi
ต้องบอกเลยว่าเยอะจริงๆ ตอนฉันไปอยู่ญี่ปุ่นครั้งแรกตอนเป็นนักเรียนนั้นในที่ทำงานพิเศษ (アルバイト先)ก็มี 2 คน พอเรียก 佐藤さん ก็หันมาพร้อมกัน 2 คนเลย ทีนี้ก็เลยต้องเรียกชื่อตัว 1 คน ก็เป็น 佐藤さん 1 คน เป็น 武さん(takeshi san) อีก 1 คน
คราวนี้ตอนไปอบรมครูสอนภาษาญี่ปุ่นก็เจอเป็น 鈴木さんอีก แหมช่างเป็นชื่อสกุลที่เยอะจริงๆ 1 คนเป็นประธานของโรงเรียนที่ไปอบรม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นโฮสแฟมิลี่ที่ไปอยู่ด้วย ทางโฮสแฟมิลี่ก็ใจดีให้เรียกชื่อเป็น さきさん แทนจะได้ไม่สับสน ครอบครัว さきさん ใจดีมากเลยค่ะ ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมด 4 คน มี さきさん, สามีของ さきさん และลูกชายอีก 2 คน แต่ตอนนี้ さきさん อยู่กันกับสามี 2 คนเพราะลูกชายไปเรียนต่อที่โตเกียว さきさんก็เลยอนุญาตให้ฉันนอนที่หอ้งลูกชาย ต้องขอบคุณ さきさん มากๆ เลยค่ะ
แอบถ่ายกับห้องนอนลูกชายนิดนึง
ตอนกลางคืนไม่รู้จะทำอะไรเหงาๆ ก็เลย ขอเอาการ์ตูนของลูกชาย さきさん มาอ่าน สนุกดี แต่เป็นการ์ตูนผู้ชายก็มันไปอีกแบบ
さきさん เป็นคนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากเลยค่ะ ก่อนแต่งงานเคยมาบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลาถึง 1 ปีเลยค่ะ แล้วก็ชอบวาดภาพเกี่ยวกับศาสนา ลวดลายแบบแนวพุทธด้วยค่ะ ขนาดว่ามีแกลอลี่เป็นของตัวเองเลยทีเดียว
ทางเข้าแกลอลี่ของ さきさん
บรรยากาศภายในแกลลอรี่ค่ะ
ข้างๆ แกลลอรี่ยังมีร้านขายเทียนหอมด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
เดี๋ยวไว้คราวหน้าจะเอารูปผู้หญิงใจดีมาให้ดูกันนะคะ
Posted by mod at
20:28
│Comments(0)
2015年08月27日
鈴木さん
วันนี้เรามาคุยกันถึงชื่อสกุลของคนญี่ปุ่นกัน ชื่อสกุลที่ใช้กันมากในคนญี่ปุ่นคือ
No.1.佐藤 Sato
No.2.鈴木 Suzuki
No.3.高橋 Takahashi
ต้องบอกเลยว่าเยอะจริงๆ ตอนฉันไปอยู่ญี่ปุ่นครั้งแรกตอนเป็นนักเรียนนั้นในที่ทำงานพิเศษ (アルバイト先)ก็มี 2 คน พอเรียก 佐藤さん ก็หันมาพร้อมกัน 2 คนเลย ทีนี้ก็เลยต้องเรียกชื่อตัว 1 คน ก็เป็น 佐藤さん 1 คน เป็น 武さん(takeshi san) อีก 1 คน
คราวนี้ตอนไปอบรมครูสอนภาษาญี่ปุ่นก็เจอเป็น 鈴木さんอีก แหมช่างเป็นชื่อสกุลที่เยอะจริงๆ 1 คนเป็นประธานของโรงเรียนที่ไปอบรม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นโฮสแฟมิลี่ที่ไปอยู่ด้วย ทางโฮสแฟมิลี่ก็ใจดีให้เรียกชื่อเป็น さきさん แทนจะได้ไม่สับสน ครอบครัว さきさん ใจดีมากเลยค่ะ ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมด 4 คน มี さきさん, สามีของ さきさん และลูกชายอีก 2 คน แต่ตอนนี้ さきさん อยู่กันกับสามี 2 คนเพราะลูกชายไปเรียนต่อที่โตเกียว さきさんก็เลยอนุญาตให้ฉันนอนที่หอ้งลูกชาย ต้องขอบคุณ さきさん มากๆ เลยค่ะ
แอบถ่ายกับห้องนอนลูกชายนิดนึง
ตอนกลางคืนไม่รู้จะทำอะไรเหงาๆ ก็เลย ขอเอาการ์ตูนของลูกชาย さきさん มาอ่าน สนุกดี แต่เป็นการ์ตูนผู้ชายก็มันไปอีกแบบ
さきさん เป็นคนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากเลยค่ะ ก่อนแต่งงานเคยมาบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลาถึง 1 ปีเลยค่ะ แล้วก็ชอบวาดภาพเกี่ยวกับศาสนา ลวดลายแบบแนวพุทธด้วยค่ะ ขนาดว่ามีแกลอลี่เป็นของตัวเองเลยทีเดียว
ทางเข้าแกลอลี่ของ さきさん
บรรยากาศภายในแกลลอรี่ค่ะ
ข้างๆ แกลลอรี่ยังมีร้านขายเทียนหอมด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
เดี๋ยวไว้คราวหน้าจะเอารูปผู้หญิงใจดีมาให้ดูกันนะคะ
No.1.佐藤 Sato
No.2.鈴木 Suzuki
No.3.高橋 Takahashi
ต้องบอกเลยว่าเยอะจริงๆ ตอนฉันไปอยู่ญี่ปุ่นครั้งแรกตอนเป็นนักเรียนนั้นในที่ทำงานพิเศษ (アルバイト先)ก็มี 2 คน พอเรียก 佐藤さん ก็หันมาพร้อมกัน 2 คนเลย ทีนี้ก็เลยต้องเรียกชื่อตัว 1 คน ก็เป็น 佐藤さん 1 คน เป็น 武さん(takeshi san) อีก 1 คน
คราวนี้ตอนไปอบรมครูสอนภาษาญี่ปุ่นก็เจอเป็น 鈴木さんอีก แหมช่างเป็นชื่อสกุลที่เยอะจริงๆ 1 คนเป็นประธานของโรงเรียนที่ไปอบรม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นโฮสแฟมิลี่ที่ไปอยู่ด้วย ทางโฮสแฟมิลี่ก็ใจดีให้เรียกชื่อเป็น さきさん แทนจะได้ไม่สับสน ครอบครัว さきさん ใจดีมากเลยค่ะ ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมด 4 คน มี さきさん, สามีของ さきさん และลูกชายอีก 2 คน แต่ตอนนี้ さきさん อยู่กันกับสามี 2 คนเพราะลูกชายไปเรียนต่อที่โตเกียว さきさんก็เลยอนุญาตให้ฉันนอนที่หอ้งลูกชาย ต้องขอบคุณ さきさん มากๆ เลยค่ะ
แอบถ่ายกับห้องนอนลูกชายนิดนึง
ตอนกลางคืนไม่รู้จะทำอะไรเหงาๆ ก็เลย ขอเอาการ์ตูนของลูกชาย さきさん มาอ่าน สนุกดี แต่เป็นการ์ตูนผู้ชายก็มันไปอีกแบบ
さきさん เป็นคนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากเลยค่ะ ก่อนแต่งงานเคยมาบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลาถึง 1 ปีเลยค่ะ แล้วก็ชอบวาดภาพเกี่ยวกับศาสนา ลวดลายแบบแนวพุทธด้วยค่ะ ขนาดว่ามีแกลอลี่เป็นของตัวเองเลยทีเดียว
ทางเข้าแกลอลี่ของ さきさん
บรรยากาศภายในแกลลอรี่ค่ะ
ข้างๆ แกลลอรี่ยังมีร้านขายเทียนหอมด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
เดี๋ยวไว้คราวหน้าจะเอารูปผู้หญิงใจดีมาให้ดูกันนะคะ
Posted by mod at
20:17
│Comments(0)
2015年08月26日
わさび
สาวกอาหารญี่ปุ่นทั้งหลายค่ะ ใครไม่รู้จักเจ้าผักต้นเขียวๆ นี้บ้าง
ใช่แล้วค่ะเจ้านี่ก็คือ わさび (วาซาบิ) นั่นเอง เจ้านี่มันแสบจริงเลยนะ กินทีไรมันต้อง “ความเผ็ดขึ้นจมูก” หรือบางทีแสบไปจนถึงตาจนร้องไห้กันเลยทีเดียว ถ้าแสบมากๆ ก็ถึงกับขึ้นสมองกันเลย
รู้กันหรือไม่ว่า "วาซาบิ" ที่นำมาใช้กินกันนั้น จะเป็นส่วนของรากนั่นเอง แล้วแหล่งที่ปลูกวาซาบิอยู่ที่ Shimitsu แปลว่า น้ำสะอาด การปลูกวาซาบินั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องลงทุนค่อนข้างสูง พืชชนิดนี้มักจะปลูกในที่โล่ง แต่จะต้องมีการจำกัดปริมาณแสงแดดไม่ให้ส่องลงมาถูกต้นพืชโดยตรงในช่วงฤดูร้อน
เนื่องจากมีแหล่งปลูกที่จำกัดจึงทำให้วาซาบิมีราคาค่อนข้างสูง ราคากิโลกรัมละหลายพันบาท ดังนั้นจึงมีร้านอาหารญี่ปุ่นเพียงแค่ 5% เท่านั้นที่ใช้วาซาบิของแท้ อีก 95% จะเป็นวาซาบิเทียม (เราไม่เรียกว่าปลอมนะคะ มันโหดร้ายเกินไป) ที่เป็นพืชจำพวกมัสตาดที่มีรสคล้ายวาซาบิ
ถึงแม้ว่าวาซาบิจะเป็นเจ้าตัวแสบ แต่ประโยชน์ของมันเหลือหลายทีเดียว เรามักพบเจ้าวาซาบิอยู่ในเมนู”ซาชิมิ” หรือปลาดิบ และ “ซูชิ” กัน ทำไมคนญี่ปุ่นถึงต้องใส่วาซาบิในข้าวปั้นหน้าปลาดิบด้วย เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าวาซาบิสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิที่อยู่ในอาหารสดได้ดี สร้างภูมิคุ้มกันบางชนิดได้ในภาวะของการเป็นภูมิแพ้บางชนิด ต่อต้านโรคมะเร็งในการรับประมานอาหารสดได้ด้วย มีพวกสารอาหาร วิตามินซี วิตามินบี 6 แคลเซียม แมงกานิส บีต้า-แคโรทีนสารเริ่มต้นของวิตามินเอ กลูโคซิโนเลต ต้านมะเร็งได้ ทำลายเชื้อแบคทีเรียสแตฟฟิโลคอกได้คือโรคติดเชื้อที่เกิดบนผิวหนังนั่นเอง ช่วยล้างพิษในตับและทางเดินอาหารอีกด้วยเยอะแยะมากมาย แต่ก็ต้องระวังกันหน่อยถึงความเผ็ดที่ทำให้น้ำตาเล็ดเชียว
วาซาบิแท้นั้นจะนำเหง้ารากมาขูดกับเครื่องมือที่เรียกว่า วาซาบิโอโระชิ ในขณะที่ขูดออกมานั้นเนื้อวาซาบิเกิดการผสมผสานกับอากาศภายนอกจึงทำให้เกิดรสชาติเผ็ดร้อนกลมกล่อมและอมหวานขึ้นมา ที่สำคัญไม่ฉุนมากเกินไป ส่วนวาซาบิเทียมนั้น เกิดจากการผสมของผงมัสตาร์ด แป้ง สีผสมอาหาร และ ต้นฮอสแรดิช พืชที่ให้สรรพคุณเผ็ดฉุนมากกว่าวาซาบิ
ลองทายกันดูสิคะว่า กองไหนคือวาซาบิแท้ ติ๊กต๊อกๆ กองซ้ายคือวาซาบิแท้ค่ะ จะสังเกตได้ว่าวาซาบิแท้ เมื่อขูดออกมาแล้วยังมีใยอาหารอยู่
ด้วยความที่วาซาบิเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกเป็นญี่ปุ่นๆ ก็เลยได้รับความนิยมนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย อย่างเช่น ขนมญี่ปุ่นรสวาซาบิ ซอฟครีมรสวาซาบิ และต่างๆ อีกมากมาย
ตอนไปกินซอฟครีมวาซาบิ มีต้นวาซาบิให้ดูด้วย
ใช่แล้วค่ะเจ้านี่ก็คือ わさび (วาซาบิ) นั่นเอง เจ้านี่มันแสบจริงเลยนะ กินทีไรมันต้อง “ความเผ็ดขึ้นจมูก” หรือบางทีแสบไปจนถึงตาจนร้องไห้กันเลยทีเดียว ถ้าแสบมากๆ ก็ถึงกับขึ้นสมองกันเลย
รู้กันหรือไม่ว่า "วาซาบิ" ที่นำมาใช้กินกันนั้น จะเป็นส่วนของรากนั่นเอง แล้วแหล่งที่ปลูกวาซาบิอยู่ที่ Shimitsu แปลว่า น้ำสะอาด การปลูกวาซาบินั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องลงทุนค่อนข้างสูง พืชชนิดนี้มักจะปลูกในที่โล่ง แต่จะต้องมีการจำกัดปริมาณแสงแดดไม่ให้ส่องลงมาถูกต้นพืชโดยตรงในช่วงฤดูร้อน
เนื่องจากมีแหล่งปลูกที่จำกัดจึงทำให้วาซาบิมีราคาค่อนข้างสูง ราคากิโลกรัมละหลายพันบาท ดังนั้นจึงมีร้านอาหารญี่ปุ่นเพียงแค่ 5% เท่านั้นที่ใช้วาซาบิของแท้ อีก 95% จะเป็นวาซาบิเทียม (เราไม่เรียกว่าปลอมนะคะ มันโหดร้ายเกินไป) ที่เป็นพืชจำพวกมัสตาดที่มีรสคล้ายวาซาบิ
ถึงแม้ว่าวาซาบิจะเป็นเจ้าตัวแสบ แต่ประโยชน์ของมันเหลือหลายทีเดียว เรามักพบเจ้าวาซาบิอยู่ในเมนู”ซาชิมิ” หรือปลาดิบ และ “ซูชิ” กัน ทำไมคนญี่ปุ่นถึงต้องใส่วาซาบิในข้าวปั้นหน้าปลาดิบด้วย เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าวาซาบิสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิที่อยู่ในอาหารสดได้ดี สร้างภูมิคุ้มกันบางชนิดได้ในภาวะของการเป็นภูมิแพ้บางชนิด ต่อต้านโรคมะเร็งในการรับประมานอาหารสดได้ด้วย มีพวกสารอาหาร วิตามินซี วิตามินบี 6 แคลเซียม แมงกานิส บีต้า-แคโรทีนสารเริ่มต้นของวิตามินเอ กลูโคซิโนเลต ต้านมะเร็งได้ ทำลายเชื้อแบคทีเรียสแตฟฟิโลคอกได้คือโรคติดเชื้อที่เกิดบนผิวหนังนั่นเอง ช่วยล้างพิษในตับและทางเดินอาหารอีกด้วยเยอะแยะมากมาย แต่ก็ต้องระวังกันหน่อยถึงความเผ็ดที่ทำให้น้ำตาเล็ดเชียว
วาซาบิแท้นั้นจะนำเหง้ารากมาขูดกับเครื่องมือที่เรียกว่า วาซาบิโอโระชิ ในขณะที่ขูดออกมานั้นเนื้อวาซาบิเกิดการผสมผสานกับอากาศภายนอกจึงทำให้เกิดรสชาติเผ็ดร้อนกลมกล่อมและอมหวานขึ้นมา ที่สำคัญไม่ฉุนมากเกินไป ส่วนวาซาบิเทียมนั้น เกิดจากการผสมของผงมัสตาร์ด แป้ง สีผสมอาหาร และ ต้นฮอสแรดิช พืชที่ให้สรรพคุณเผ็ดฉุนมากกว่าวาซาบิ
ลองทายกันดูสิคะว่า กองไหนคือวาซาบิแท้ ติ๊กต๊อกๆ กองซ้ายคือวาซาบิแท้ค่ะ จะสังเกตได้ว่าวาซาบิแท้ เมื่อขูดออกมาแล้วยังมีใยอาหารอยู่
ด้วยความที่วาซาบิเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกเป็นญี่ปุ่นๆ ก็เลยได้รับความนิยมนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย อย่างเช่น ขนมญี่ปุ่นรสวาซาบิ ซอฟครีมรสวาซาบิ และต่างๆ อีกมากมาย
ตอนไปกินซอฟครีมวาซาบิ มีต้นวาซาบิให้ดูด้วย
Posted by mod at
20:03
│Comments(0)
2015年08月25日
ตู้ “เกมคีบตุ๊กตา”
สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่นก็คือการเล่นตู้เกมในเกมเซ็นเตอร์ ซึ่งภาษาญี่ปุ่นจะเรียกย่อๆ ว่า "Ge-Sen" (Game Center) ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบมากๆ ไปเดินเที่ยวตามห้างหรือแหล่งชุมชนต่างๆ ก็จะตั้งไว้ล่อใจตลอด เห็นแล้วก็อดไม่ได้ เพราะว่า ของรางวัล ของเล่นสีสันฉูดฉาดที่รวบรวมไว้ในตู้พลาสติกใสที่ตั้งโชว์อยู่ในเครื่องเล่นเกม โดยเฉพาะบริเวณแถวทางเข้าเกมเซ็นเตอร์ เจอเพียบเลย
ตู้นี้คือตู้ “เกมคีบตุ๊กตา”
ภายในตู้พลาสติกใส จะมีตุ๊กตา โมเดลของเล่น หรือขนม เป็นของสมนาคุณต่างๆ ในตู้เกมก็จะมี
มือกลด้านบนที่จะถูกควบคุมให้ไปซ้ายขวาหน้าหลัง โดยใช้มือบังคับจับอยู่ที่ปุ่มหรือคันโยก
เป้าหมายของเกมนี้คือการนําของรางวัลออกมาให้จงได้นั้นเอง นั้นก็เสน่ห์อย่างแรก คือ คีบมันออกมา
ความรู้สึกในขณะคีบของรางวัลก็จะคอยลุ้นกันตัวโก่งเลยทีเดียว มีน้อยคนมากที่ลองเล่นครั้งแรกแล้วจะลงตรงช่อง
เมื่อมันไม่ลง เราก็ต้องเล่นครั้งต่อไป ระหว่างเล่นๆ ไปก็คิดหาวิธีเล่นที่จะทําให้คีบได้ไปด้วย ก็ยิ่งสนุกไปเลยนะ
เกมที่อยู่ในเกมเซ็นเตอร์ทั่วๆ ไป เมื่อเล่นจบเกมก็ไม่เหลืออะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน แต่ถ้าเล่นเกมคีบตุ๊กตา
ถ้าโชคดีคีบได้ก็มีของที่ระลึกถึงความเก่งกาจกลับบ้านไปด้วย โดยเฉพาะการมาเดทกับแฟนเป็นคู่ๆ ฝ่ายชายก็มัก
แสดงฝีมือเล่นเกมคีบตุ๊กตาให้กับแฟนสาวเป็นความทรงจำในการเดทครั้งนั้น
แถมเกมคีบตุ๊กตายังมีสินค้าให้เลือกเล่นมากมายไม่จํากัดจำนวน แล้วของรางวัลก็จะเป็นตุ๊กตาที่หาซื้อที่อื่นไม่ได้
นอกจากเล่นเกมในเกมเซ็นเตอร์เท่านั้น
เดี๋ยวนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตุ๊กตานะคะ เดี๋ยวนี้ก็มีตู้คีบพวกขนมต่างๆ ด้วย ถ้าคีบได้ขนมนี่สุดยอดไปเลย ได้โชว์ฝีมือแล้วยังได้
กินขนมอร่อยๆ อีกด้วย ถึงแม้ฉันจะเล่นเกมไม่เคยได้เลย แต่ก็จะสู้ต่อไปค่ะ
Posted by mod at
20:04
│Comments(0)
2015年08月24日
ดอกอาจิไซ
ดอกอาจิไซหรือไฮเดรนเยียเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง มีดอกหลายสี ทั้งสีขาว ชมพู และสีฟ้าที่เรามักเห็นกันอยู่บ่อยๆ ดังชื่ออาจิไซที่หมายถึงสีฟ้าที่รวมเป็นกระจุกและค่อยๆ เปลี่ยนสีนั่นเอง โดยในประเทศญี่ปุ่นนั้นดอกอาจิไซจะเบ่งบานในช่วงต้นเดือนมิถุนายนจนถึงช่วงกลางเดือนกรกฎาคมอันถือเป็นช่วงฤดูฝน ดังนั้นจึงทำให้อาจิไซกลายเป็นสัญลักษณ์ของฤดูฝนของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย
สำหรับสถานที่ชมดอกอาจิไซหรือดอกไฮเดรนเยียในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็มีอยู่หลายที่ แต่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวรวมทั้งชาวญี่ปุ่นเองให้ความนิยมนั้นก็มีที่วัดมิมูโรโตะจิที่เกียวโต ซึ่งที่นี่มีสวนขนาดพื้นที่ประมาณ 16,500 ตารางเมตร อันเต็มไปด้วยดอกอาจิไซที่บานสะพรั่งกว่าหนึ่งหมื่นต้น ถึง 30 ชนิด เรียงรายไปตามไหล่เขาทั้งสีฟ้า สีม่วง สีขาว และสีชมพู
ส่วนอีกสถานที่ก็คือสวนของปราสาทโอซาก้า ซึ่งถึงแม้ที่นี่จะเป็นสวนไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีอาจิไซหลายสายพันธุ์ให้ชมโดยมีปราสาทโอซาก้าเป็นฉากหลังที่สวยงาม นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายๆ ที่อย่างเช่นตามสวนสาธารณะและในวัดวาอารามในเขตคันไซ เป็นต้น รวมทั้งที่สวนนูกาตะเอ็นชิ ที่ดอกอาจิไซจะเริ่มเบ่งบานต้อนรับผู้มาเยือนในช่วงระหว่างกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคมของทุกปี
และวัดยาตะในเขตนาระ ที่คนส่วนใหญ่มักเรียกที่นี่ว่าวัดอาจิไซ เนื่องจากภายในวัดนั้นเต็มไปด้วยดอกอาจิไซหลากสีหลายพันธุ์นั่นเอง
แต่ฉันไปญี่ปุ่นช่วงเดือนพฤษภาคม ก็อยู่ในช่วงดอกอะจิไซบานพอดี แต่ไม่มีโอกาสไปชมในสถานที่สวยๆ ก็ได้แต่ชื่นชมดอกอะจิไซที่ขึ้นอยู่ระหว่างทางไปโรงเรียนนั่นเอง อาจดูไม่ค่อยสวยเท่าไร ก็มันสวยอยู่
เมื่อเทียบกับฉันด้วยแล้วมันยิ่งดูสวยเข้าไปใหญ่เลย
Posted by mod at
19:42
│Comments(0)