› 日本が好き › 2015年12月
2015年12月29日
“大掃除” Big Cleaning Day
อีกแค่ 2 วันก็จะถึงวันปีใหม่แล้วนะคะ การจะต้อนรับปีใหม่ก็ต้องต้อนรับด้วยสถานที่สะอาดหมดจด ดังนั้น วันนี้เราจะพูดถึงเรื่อง การทำความสะอาด ประจำปีกันนะคะ
ในภาษาญี่ปุ่นนั้น การทำความสะอาดประจำปี เราจะเรียกว่า “大掃除” (おおそうじ - Oosouji หรือ Big Cleaning Day นั่นเอง
โอโซจิ เป็นการทำความสะอาดประจำปีก่อนถึงปีใหม่ ส่วนใหญ่มักจะทำกันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น "การทำความสะอาดครั้งใหญ่ ประจำปี" เขาก็จะเก็บกวาดกันทุกซอกทุกมุมนั่นล่ะ เก็บข้าวของที่ไม่ใช้แล้ว ไปทิ้ง กวาด หยากไย่ ปัด กวาด เช็ด ถู ให้สะอาดเอี่ยมอ่อง แม้กระทั่งบริเวณที่ปกติไม่เคยทำความสะอาดมาเลย ก็จะต้องทำความสะอาดให้สะอาด การทำความสะอาดครั้งใหญ่นี้เขาจะพยายามใส่ใจ ใส่ความรู้สึกในการต้อนรับสิ่งดีในปีใหม่ไปด้วย ต่างจากการทำความสะอาดปกติที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว
ที่ญี่ปุ่นนั้นไม่เพียงแต่ทำความสะอาดที่บ้าน แต่ยังรวมไปถึงที่ทำงาน หรือในโรงเรียน พนักงานบริษัท ครู หรือนักเรียน ก็จะช่วยกันทำความสะอาดสถานที่กันอย่างขยันขันแข็ง ให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน แบ่งหน้าที่กันทำ ให้ทุกคนมีความรับผิดชอบ ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงรุ่นผู้ใหญ่กันเลยทีเดียว ถือเป็นการสร้างเสริมระเบียบวินัย ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน
เมื่อบ้านช่อง อาคารสถานที่ สะอาดเรียบร้อย เทพเจ้าที่ปกปักรักษา ก็จะนำพาโชคลาภมาแก่ผู้คนที่อยู่อาศัย
นอกจากคำว่า ““大掃除” (おおそうじ) แล้ว ยังมีอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดในช่วงปีใหม่ด้วย นั่นก็คือคำว่า 「煤払い」(Susuharai) ซึ่งเป็นพิธีทำความสะอาดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่นวัดและศาลเจ้า ถือว่าพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งก็ว่าได้ พิธีนี้นิยมทำวันที่ 13 ของเดือน ธันวาคม เป็นการทำความสะอาดท้ายปี เพื่อให้เทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ประทานพรในวันปีใหม่ และได้สถิตอยู่ในที่ที่สะอาด และเป็นมงคลตั้งแต่ต้นปี
พิธี 「すす払(はら)い」 (Susuharai) ของวัดนิชิฮงงัน (西本願寺) ที่ตั้งอยู่ในเกียวโต (ได้รับเป็นขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในสมาชิกของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตะโบราณ และเป็นมรดกโลก) ได้ปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลามากกว่า 500 ปีแล้ว
เมื่อวันที่ 20 เดือนธ.ค.ที่ผ่านมาได้มีเหล่านักบวชประมาณ 900 คนจากทั่วญี่ปุ่นมาร่วมแรงร่วมใจกันทำความสะอาด ก็จะทำความสะอาดพวกฝุ่นละออง หรือคราบเปรอะเปื้อนที่เกาะอยู่ตามหลังคาวัด หรือ ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น สะพาน เป็นต้น โดยจะใช้ก้านไผ่ที่มีความยาว ตัดกิ่งรกๆออกให้เหลือปลายต้นที่สามารถทำความสะอาดได้
เหล่านักบวชและชาวบ้านจะใช้ไม้ตีให้ฝุ่นที่อยู่ในเสื่อทาทามิกว่า 1,000 ผืนที่อยู่ในอาคาร 2 หลังออกมา แล้วหลังจากนั้นจะใช้ลมจากพัดกลมอันใหญ่ปัดขี้ฝุ่นออกไปด้านนอกจนหมด
การทำความสะอาดครั้งใหญ่ไม่ได้ทำแต่ที่บ้านหรือที่วัดเท่านั้น แต่ยังทำในสถานที่ต่างๆ ด้วย
อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่อยู่ที่จังหวด Mie ก็จะสูบเอาน้ำในสระใหญ่ที่มีแมวน้ำออก แล้ทำความสะอาดบริเวณฝาและก้นสระให้สะอาดทุกปี แล้วที่นี่เหล่าแมวน้ำก็จะได้ต้อนรับปีใหม่ในสระที่สะอาดอย่างมีความสุข
ในภาษาญี่ปุ่นนั้น การทำความสะอาดประจำปี เราจะเรียกว่า “大掃除” (おおそうじ - Oosouji หรือ Big Cleaning Day นั่นเอง
โอโซจิ เป็นการทำความสะอาดประจำปีก่อนถึงปีใหม่ ส่วนใหญ่มักจะทำกันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น "การทำความสะอาดครั้งใหญ่ ประจำปี" เขาก็จะเก็บกวาดกันทุกซอกทุกมุมนั่นล่ะ เก็บข้าวของที่ไม่ใช้แล้ว ไปทิ้ง กวาด หยากไย่ ปัด กวาด เช็ด ถู ให้สะอาดเอี่ยมอ่อง แม้กระทั่งบริเวณที่ปกติไม่เคยทำความสะอาดมาเลย ก็จะต้องทำความสะอาดให้สะอาด การทำความสะอาดครั้งใหญ่นี้เขาจะพยายามใส่ใจ ใส่ความรู้สึกในการต้อนรับสิ่งดีในปีใหม่ไปด้วย ต่างจากการทำความสะอาดปกติที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว
ที่ญี่ปุ่นนั้นไม่เพียงแต่ทำความสะอาดที่บ้าน แต่ยังรวมไปถึงที่ทำงาน หรือในโรงเรียน พนักงานบริษัท ครู หรือนักเรียน ก็จะช่วยกันทำความสะอาดสถานที่กันอย่างขยันขันแข็ง ให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน แบ่งหน้าที่กันทำ ให้ทุกคนมีความรับผิดชอบ ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงรุ่นผู้ใหญ่กันเลยทีเดียว ถือเป็นการสร้างเสริมระเบียบวินัย ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน
เมื่อบ้านช่อง อาคารสถานที่ สะอาดเรียบร้อย เทพเจ้าที่ปกปักรักษา ก็จะนำพาโชคลาภมาแก่ผู้คนที่อยู่อาศัย
นอกจากคำว่า ““大掃除” (おおそうじ) แล้ว ยังมีอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดในช่วงปีใหม่ด้วย นั่นก็คือคำว่า 「煤払い」(Susuharai) ซึ่งเป็นพิธีทำความสะอาดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่นวัดและศาลเจ้า ถือว่าพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งก็ว่าได้ พิธีนี้นิยมทำวันที่ 13 ของเดือน ธันวาคม เป็นการทำความสะอาดท้ายปี เพื่อให้เทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ประทานพรในวันปีใหม่ และได้สถิตอยู่ในที่ที่สะอาด และเป็นมงคลตั้งแต่ต้นปี
พิธี 「すす払(はら)い」 (Susuharai) ของวัดนิชิฮงงัน (西本願寺) ที่ตั้งอยู่ในเกียวโต (ได้รับเป็นขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในสมาชิกของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตะโบราณ และเป็นมรดกโลก) ได้ปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลามากกว่า 500 ปีแล้ว
เมื่อวันที่ 20 เดือนธ.ค.ที่ผ่านมาได้มีเหล่านักบวชประมาณ 900 คนจากทั่วญี่ปุ่นมาร่วมแรงร่วมใจกันทำความสะอาด ก็จะทำความสะอาดพวกฝุ่นละออง หรือคราบเปรอะเปื้อนที่เกาะอยู่ตามหลังคาวัด หรือ ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น สะพาน เป็นต้น โดยจะใช้ก้านไผ่ที่มีความยาว ตัดกิ่งรกๆออกให้เหลือปลายต้นที่สามารถทำความสะอาดได้
เหล่านักบวชและชาวบ้านจะใช้ไม้ตีให้ฝุ่นที่อยู่ในเสื่อทาทามิกว่า 1,000 ผืนที่อยู่ในอาคาร 2 หลังออกมา แล้วหลังจากนั้นจะใช้ลมจากพัดกลมอันใหญ่ปัดขี้ฝุ่นออกไปด้านนอกจนหมด
การทำความสะอาดครั้งใหญ่ไม่ได้ทำแต่ที่บ้านหรือที่วัดเท่านั้น แต่ยังทำในสถานที่ต่างๆ ด้วย
อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่อยู่ที่จังหวด Mie ก็จะสูบเอาน้ำในสระใหญ่ที่มีแมวน้ำออก แล้ทำความสะอาดบริเวณฝาและก้นสระให้สะอาดทุกปี แล้วที่นี่เหล่าแมวน้ำก็จะได้ต้อนรับปีใหม่ในสระที่สะอาดอย่างมีความสุข
Posted by mod at
20:30
│Comments(0)
2015年12月28日
บัตรอวยพรปีใหม่ สำหรับปีใหม่ที่สนุกสุขสันต์
วันนี้ก็เป็นวันที่ 28 ธันวาคมแล้วนะคะ นับถอยหลังอีก 4 วัน พวกเราก็จะได้ต้อนรับปีใหม่ ปี 2016 กันแล้ว
สิ่งที่เรามักจะทำกันเป็นประจำช่วงใกล้ปีใหม่ก็คือหาของขวัญวันปีใหม่ให้กับเพื่อนหรือคนที่เรารัก แต่อีกสิ่งที่มักจะทำควบคู่กันไปก็คือการส่งบัตรอวยพรปีใหม่ หรือคนไทยเรียกกันว่า "ส.ค.ส"
สำหรับ ส.ค.ส. ของประเทศญี่ปุ่น เขาเรียกกันว่า [年賀状 (ねんがじょう)] ก็คือไปรษณียบัตรที่ส่งไปเพื่ออวยพรในช่วงปีใหม่ให้กับเพื่อนๆ และเหล่าคนรู้จัก แล้วก็จะต้องส่งให้ถึงมือผู้รับในเช้าของวันที่ 1 มกราคม
สำหรับปี 2016 นั้นในปฏิทินสมัยโบราณของญี่ปุ่นจะเป็น [さるの年(とし)] (Saru no Toshi)
“さる” มีความหมายว่า “ลิง” ส่วนคำว่า “年” ก็คือ “ปี” รวมกันก็จะได้เป็น “ปีลิง” หรือ “ปีวอก” ของไทยนั่นเอง จึงมีบัตรอวยพรปีใหม่ที่วาดเป็นรูปลิงกันเยอะมาก
แล้วก็มีบางคนที่ปริ้นต์รูปถ่ายอย่างเช่นรูปถ่ายตัวเอง หรือครอบครัวเพื่อทำเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ด้วย
นอกจากนี้เราก็ยังสามารถส่งวีดีโออวยพรปีใหม่เพื่อเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ได้ด้วย
คนที่ได้รับบัตรอวยพรปีใหม่แล้ว ถ้าใช้กล้องถ่ายรูปในมือถือแสกนเครื่องหมาย QR code ที่ปริ้นต์ไว้ ก็สามารถดูเป็นวีดีโอได้ด้วย
นอกจากนี้ ก็ยังมีบริการต่างๆ มากมายที่สามารถยังใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์เพื่อทำออกมาเป็นบัตรอวยพรได้อย่างง่ายดายด้วย
สมัยนี้ จะมีคนที่อวยพรปีใหม่ทางเมล์เยอะขึ้นมาก จึงทำให้มีคนส่งบัตรอวยพรปีใหม่ลดน้อยลง ไม่ใช่แต่ที่ญี่ปุ่นนะคะ ประเทศไทยเราเองก็เช่นกันดูเหมือนจะส่ง ส.ค.ส.กันน้อยลง
พวกเราจะหันมาใช้บริการต่างๆ ที่สะดวกสบายกันเยอะขึ้น สำหรับที่ญี่ปุ่นนั้นที่ทำการไปรษณีย์ถึงออกมาบอกว่าอยากให้เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวส่งบัตรอวยพรปีใหม่กันเยอะๆ หน่อย จะว่าไปการส่งบัตรอวยพรปีใหม่ทางไปรษณีย์ก็ดูคลาสสิคดีนะคะ มันดูน่าตื่นเต้นกว่าได้รับทางอีเมล์เป็นไหนๆ เลย
ฉันเองก็ลุ้นอยู่ว่าปีนี้จะได้รับบัตรอวยพรปีใหม่ทางไปรษณีย์บ้างมัยน้า
สิ่งที่เรามักจะทำกันเป็นประจำช่วงใกล้ปีใหม่ก็คือหาของขวัญวันปีใหม่ให้กับเพื่อนหรือคนที่เรารัก แต่อีกสิ่งที่มักจะทำควบคู่กันไปก็คือการส่งบัตรอวยพรปีใหม่ หรือคนไทยเรียกกันว่า "ส.ค.ส"
สำหรับ ส.ค.ส. ของประเทศญี่ปุ่น เขาเรียกกันว่า [年賀状 (ねんがじょう)] ก็คือไปรษณียบัตรที่ส่งไปเพื่ออวยพรในช่วงปีใหม่ให้กับเพื่อนๆ และเหล่าคนรู้จัก แล้วก็จะต้องส่งให้ถึงมือผู้รับในเช้าของวันที่ 1 มกราคม
สำหรับปี 2016 นั้นในปฏิทินสมัยโบราณของญี่ปุ่นจะเป็น [さるの年(とし)] (Saru no Toshi)
“さる” มีความหมายว่า “ลิง” ส่วนคำว่า “年” ก็คือ “ปี” รวมกันก็จะได้เป็น “ปีลิง” หรือ “ปีวอก” ของไทยนั่นเอง จึงมีบัตรอวยพรปีใหม่ที่วาดเป็นรูปลิงกันเยอะมาก
แล้วก็มีบางคนที่ปริ้นต์รูปถ่ายอย่างเช่นรูปถ่ายตัวเอง หรือครอบครัวเพื่อทำเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ด้วย
นอกจากนี้เราก็ยังสามารถส่งวีดีโออวยพรปีใหม่เพื่อเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ได้ด้วย
คนที่ได้รับบัตรอวยพรปีใหม่แล้ว ถ้าใช้กล้องถ่ายรูปในมือถือแสกนเครื่องหมาย QR code ที่ปริ้นต์ไว้ ก็สามารถดูเป็นวีดีโอได้ด้วย
นอกจากนี้ ก็ยังมีบริการต่างๆ มากมายที่สามารถยังใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์เพื่อทำออกมาเป็นบัตรอวยพรได้อย่างง่ายดายด้วย
สมัยนี้ จะมีคนที่อวยพรปีใหม่ทางเมล์เยอะขึ้นมาก จึงทำให้มีคนส่งบัตรอวยพรปีใหม่ลดน้อยลง ไม่ใช่แต่ที่ญี่ปุ่นนะคะ ประเทศไทยเราเองก็เช่นกันดูเหมือนจะส่ง ส.ค.ส.กันน้อยลง
พวกเราจะหันมาใช้บริการต่างๆ ที่สะดวกสบายกันเยอะขึ้น สำหรับที่ญี่ปุ่นนั้นที่ทำการไปรษณีย์ถึงออกมาบอกว่าอยากให้เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวส่งบัตรอวยพรปีใหม่กันเยอะๆ หน่อย จะว่าไปการส่งบัตรอวยพรปีใหม่ทางไปรษณีย์ก็ดูคลาสสิคดีนะคะ มันดูน่าตื่นเต้นกว่าได้รับทางอีเมล์เป็นไหนๆ เลย
ฉันเองก็ลุ้นอยู่ว่าปีนี้จะได้รับบัตรอวยพรปีใหม่ทางไปรษณีย์บ้างมัยน้า
Posted by mod at
13:57
│Comments(0)
2015年12月25日
「夕張メロン」や「神戸ビーフ」などがブランドになる ตั้งแบรนด์ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่ได้เก่งแค่เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ หรือด้านการวิจัยเกี่ยวกับหุ่นยนต์เท่านั้น แต่ประเทศญี่ปุ่นเองก็โดดเด่นในเรื่องของการเกษตรด้วย
แล้ววันนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ได้จัดระบบใหม่ในการที่จะพิจารณาคัดสรรอย่างเช่นพวกผักหรือเนื้อสัตว์ที่ผลิตได้ในญีปุ่นที่มีชื่อเสียงให้มีแบรนด์เป็นของตัวเองแล้ว เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ของประเทศญี่ปุ่นเองเลยก็ว่าได้
กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นได้พิจารณาคัดสรรโดยคำนึงถึงคุณภาพและวิธีการในการผลิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นประมาณ 50 กว่าชนิดแล้วได้ตั้งขึ้นเป็นแบรนด์ 7 แบรนด์ อย่างเช่น
[เมลอน Yubari] ของเมือง Yubari จังหวัดฮอคไกโด
เมลอนหรือ Yubari King เป็นแคนตาลูปพันธุ์ที่เพาะปลูกในเรือนกระจก ในเมือง Yubari ของฮอกไกโด ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ใกล้กับ ซัปโปโร เป็นผลที่มาจากการผสมพันธุ์ข้ามระหว่างแคนตาลูป Earl's Favourite and Burpee's "Spicy"
[ฟักทอง Edosaki] ฟักทองจากจังหวัดอิบารากิ
จะใช้การทำปุ๋ยหมักให้กับดิน แล้วก็ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ พอเก็บเกี่ยวก็จะมีความหวานจัด และอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเยี่ยม
[น้ำส้มสายชูดำ Kagoshima no Tsubozukuri] น้ำส้มสายชูสีดำจากจังหวัด คาโกชิมา
[Yamedentouhon kyokuro] ชาเขียวจากจังหวัดฟุกุโอกะ
[เนื้อโกเบ] และ [เนื้อทาจิมะ] ที่เป็นเนื้อวัวของจังหวัดเฮียวโกะ
เนื้อโกเบ มาจากวัวสายพันธุ์ Tajima Wagyu และโดดเด่นด้วย ไขมัน เนื้อ หินอ่อน ทำให้รสชาติอ่อนนุ่มละมุนลิ้นเป็นพิเศษ
[Oomori Kashisu] ผลแบล็คเคอร์แรนท์ซึ่งเป็นผลไม้ของจังหวัดอาโอโมริ
ผลิตภัณฑ์ทั้ง 7 แบนรด์นี้ได้ติดตราเครื่องหมายการค้าที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดขึ้นแล้ววางจำหน่ายแล้ว
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นได้กล่าวว่า “อยากจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์อย่างเช่นพวกผักและเนื้อสัตว์ให้ได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งในประเทศและในต่างประเทศด้วยการใช้ระบบนี้”
แล้ววันนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ได้จัดระบบใหม่ในการที่จะพิจารณาคัดสรรอย่างเช่นพวกผักหรือเนื้อสัตว์ที่ผลิตได้ในญีปุ่นที่มีชื่อเสียงให้มีแบรนด์เป็นของตัวเองแล้ว เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ของประเทศญี่ปุ่นเองเลยก็ว่าได้
กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นได้พิจารณาคัดสรรโดยคำนึงถึงคุณภาพและวิธีการในการผลิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นประมาณ 50 กว่าชนิดแล้วได้ตั้งขึ้นเป็นแบรนด์ 7 แบรนด์ อย่างเช่น
[เมลอน Yubari] ของเมือง Yubari จังหวัดฮอคไกโด
เมลอนหรือ Yubari King เป็นแคนตาลูปพันธุ์ที่เพาะปลูกในเรือนกระจก ในเมือง Yubari ของฮอกไกโด ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ใกล้กับ ซัปโปโร เป็นผลที่มาจากการผสมพันธุ์ข้ามระหว่างแคนตาลูป Earl's Favourite and Burpee's "Spicy"
[ฟักทอง Edosaki] ฟักทองจากจังหวัดอิบารากิ
จะใช้การทำปุ๋ยหมักให้กับดิน แล้วก็ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ พอเก็บเกี่ยวก็จะมีความหวานจัด และอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเยี่ยม
[น้ำส้มสายชูดำ Kagoshima no Tsubozukuri] น้ำส้มสายชูสีดำจากจังหวัด คาโกชิมา
[Yamedentouhon kyokuro] ชาเขียวจากจังหวัดฟุกุโอกะ
[เนื้อโกเบ] และ [เนื้อทาจิมะ] ที่เป็นเนื้อวัวของจังหวัดเฮียวโกะ
เนื้อโกเบ มาจากวัวสายพันธุ์ Tajima Wagyu และโดดเด่นด้วย ไขมัน เนื้อ หินอ่อน ทำให้รสชาติอ่อนนุ่มละมุนลิ้นเป็นพิเศษ
[Oomori Kashisu] ผลแบล็คเคอร์แรนท์ซึ่งเป็นผลไม้ของจังหวัดอาโอโมริ
ผลิตภัณฑ์ทั้ง 7 แบนรด์นี้ได้ติดตราเครื่องหมายการค้าที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดขึ้นแล้ววางจำหน่ายแล้ว
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นได้กล่าวว่า “อยากจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์อย่างเช่นพวกผักและเนื้อสัตว์ให้ได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งในประเทศและในต่างประเทศด้วยการใช้ระบบนี้”
Posted by mod at
13:54
│Comments(0)
2015年12月24日
ซานตาคลอสเล่นสกี
อย่างที่รู้ๆ กันว่า วันที่ 25 ธ.ค.นั้นคือวันคริสมาสต์
สำหรับญี่ปุ่นแล้วเขาก็มีอะไรน่ารักๆ มาเล่นกันอยู่เสมอ คราวนี้ความน่ารักเกิดขึ้นที่สกีรีสอร์ทที่ชื่อว่า [Mt.Jeans Nasu] ตั้งอยู่ที่เมืองนาสุ จังหวัดโทชิงิ ในวันที่ 23-24 ธ.ค.นั้น ถ้าใครมาในชุดซานตาคลอสสีแดงแล้วล่ะก็จะฟรีค่าลิฟท์กันเลยทีเดียว
แล้วก็ในวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาก็มีคนสวมชุดซานตาคลอสสีแดงมารวมตัวกันราวๆ 100 คน พอทุกคนเล่นสกีหรือไม่ก็สโนร์บอร์ดสไลด์ลงมาจากด้านบนทำให้เสื้อผ้าสีแดงดูราวกับดอกไม้บานสะพรั่งเต็มลานสกีสีขาวไปหมดเลย
สำหรับฤดูหนาวในปีนี้ มีวันที่อากาศอบอุ่นติดต่อกัน จึงทำให้ลานสกีมีหิมะไม่เพียงพอ ทำให้สามารถเล่นสกีได้เพียงแค่คอร์สเดียวเท่านั้น จากทั้งหมด 7 คอร์สที่ีมีอยู่ แต่เหล่าคนที่มาเล่นสกีต่างสนุกสนานกันเต็มที่ในบรรยากาศของวันคริสมาสต์
[Mt.Jeans Nasu] นั้นเดินทางเพียง 120 นาทีโดยรถยนต์จากโตเกียว และ 25 กิโลเมตรจากปากทางไปยังนาสุบนทางด่วนโทโฮคุ หรือประมาณ 15 กิโลเมตรจากทางออกอัตโนมัติของนาสุ-โคเก็นที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวให้มีระยะทางใกล้มากขึ้น ด้วยถนนหนทางที่ขับง่าย เลี่ยงหิมะรวมถึงถนนบนภูเขาและโทลล์เวย์ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เดินทางมาในวันเล่นสกี สกีรีสอร์ทสำหรับผู้เริ่มต้นและลานกิจกรรมที่เป็นที่นิยมในเด็กแห่งนี้ได้รับการสร้างใหม่ในฤดูกาลนี้ มีสิ่งดึงดูดมากมายที่จะให้เด็กๆ ได้สนุกทั้งวัน แถมพวกเขายังได้เพลิดเพลินกับการเล่นหิมะตามธรรมชาติด้วย
นอกจากนี้ยังมีน้ำพุร้อนออนเซ็นและร้านค้าช้อปปิ้งให้เลือกสรรอีกจำนวนมาก!! มั่นใจได้ว่านาสุเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนที่คุณควรเลือกในฤดูหนาวนี้
ช่วงเวลาการให้บริการของลิฟท์สกีในแต่ละวันอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็ปไซท์ทางการของเรา
วันที่เปิด 2015/12/19
วันที่ปิด2016/03
ชั่วโมงทำการวันธรรมดาเปิดทำการ 8:30~16:30(ปิด 16:00 จนถึงปลายเดือนมกราคม)
วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดราชการ 8:30~16:30(ปิด 16:00 จนถึงปลายเดือนมกราคม)
http://www.mtjeans.com/
สำหรับญี่ปุ่นแล้วเขาก็มีอะไรน่ารักๆ มาเล่นกันอยู่เสมอ คราวนี้ความน่ารักเกิดขึ้นที่สกีรีสอร์ทที่ชื่อว่า [Mt.Jeans Nasu] ตั้งอยู่ที่เมืองนาสุ จังหวัดโทชิงิ ในวันที่ 23-24 ธ.ค.นั้น ถ้าใครมาในชุดซานตาคลอสสีแดงแล้วล่ะก็จะฟรีค่าลิฟท์กันเลยทีเดียว
แล้วก็ในวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาก็มีคนสวมชุดซานตาคลอสสีแดงมารวมตัวกันราวๆ 100 คน พอทุกคนเล่นสกีหรือไม่ก็สโนร์บอร์ดสไลด์ลงมาจากด้านบนทำให้เสื้อผ้าสีแดงดูราวกับดอกไม้บานสะพรั่งเต็มลานสกีสีขาวไปหมดเลย
สำหรับฤดูหนาวในปีนี้ มีวันที่อากาศอบอุ่นติดต่อกัน จึงทำให้ลานสกีมีหิมะไม่เพียงพอ ทำให้สามารถเล่นสกีได้เพียงแค่คอร์สเดียวเท่านั้น จากทั้งหมด 7 คอร์สที่ีมีอยู่ แต่เหล่าคนที่มาเล่นสกีต่างสนุกสนานกันเต็มที่ในบรรยากาศของวันคริสมาสต์
[Mt.Jeans Nasu] นั้นเดินทางเพียง 120 นาทีโดยรถยนต์จากโตเกียว และ 25 กิโลเมตรจากปากทางไปยังนาสุบนทางด่วนโทโฮคุ หรือประมาณ 15 กิโลเมตรจากทางออกอัตโนมัติของนาสุ-โคเก็นที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวให้มีระยะทางใกล้มากขึ้น ด้วยถนนหนทางที่ขับง่าย เลี่ยงหิมะรวมถึงถนนบนภูเขาและโทลล์เวย์ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เดินทางมาในวันเล่นสกี สกีรีสอร์ทสำหรับผู้เริ่มต้นและลานกิจกรรมที่เป็นที่นิยมในเด็กแห่งนี้ได้รับการสร้างใหม่ในฤดูกาลนี้ มีสิ่งดึงดูดมากมายที่จะให้เด็กๆ ได้สนุกทั้งวัน แถมพวกเขายังได้เพลิดเพลินกับการเล่นหิมะตามธรรมชาติด้วย
นอกจากนี้ยังมีน้ำพุร้อนออนเซ็นและร้านค้าช้อปปิ้งให้เลือกสรรอีกจำนวนมาก!! มั่นใจได้ว่านาสุเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนที่คุณควรเลือกในฤดูหนาวนี้
ช่วงเวลาการให้บริการของลิฟท์สกีในแต่ละวันอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็ปไซท์ทางการของเรา
วันที่เปิด 2015/12/19
วันที่ปิด2016/03
ชั่วโมงทำการวันธรรมดาเปิดทำการ 8:30~16:30(ปิด 16:00 จนถึงปลายเดือนมกราคม)
วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดราชการ 8:30~16:30(ปิด 16:00 จนถึงปลายเดือนมกราคม)
http://www.mtjeans.com/
Posted by mod at
19:33
│Comments(0)
2015年12月24日
雪女 yuki onna นางหิมะ
ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นคงจะมีหิมะโปรยปรายกันแล้วนะคะ แต่ว่าที่ประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ได้รับลมเย็นๆ แค่วูบเดียวเท่านั้นเองค่ะ ยังไม่ทันหายชื่นใจก็ไปเสียแล้ว
ช่วงปีใหม่ ถ้าใครที่อยากไปสัมผัสหิมะ คงต้องไปเที่ยวแถบฮอคไกโดนะคะ ได้เจอหิมะแน่นอน เมื่อพูดถึงหิมะ ก็มารู้จักคำว่า "หิมะ" ในภาษาญี่ปุ่นกันหน่อยดีกว่า
หิมะ ในภาษาญี่ปุ่นก็คือ "雪 (yuki) นะคะ
แต่ถ้าพูดคนไทยพูดคำว่า "หิมะ" คนญี่ปุ่นอาจได้ยินเป็นคำว่า "้暇 (hima)" ที่แปลว่า "เวลาว่าง" ก็ได้นะคะ
ถ้าเพื่อนๆ ไปเที่ยวแถบฮอคไกโด หรือทางแถบจังหวัดอิวาเตะ ซึ่งเป็นทางตอนเหนือของญี่ปุ่นที่มีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี ตอนกลางคืนต้องระวัง "雪女 yuki onna" ด้วยนะคะ
ว่าแต่ 雪女 (yuki onna) คืออะไรล่ะ?
ถ้าเรามาแยกคำศัพท์กัน ก็จะได้เป็น "雪(yuki) ที่แปลว่า "หิมะ" ส่วนคำว่า "女 (Onna) ก็แปลว่า "ผู้หญิง" เมื่อนำมารวมกันก็จะแปลว่า "สาวหิมะ" หรือ "ปิศาจหิมะ" นั่นเอง
สาวหิมะ หรือ ยุกิอนนะ (ญี่ปุ่น: 雪女 yuki onna นางหิมะ ) ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม ว่ากันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงใหลในความงามของนางไปสู่ความตาย
เรื่องเล่าของสาวหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสาวหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสาวหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตาย
ทว่าเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของสาวหิมะ เป็นเรื่องที่มีอยู่ว่า ชายตัดฟืน 2 คน คนหนึ่งยังหนุ่ม ส่วนอีกคนค่อนข้างมีอายุ ติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่สามารถกลับได้ จึงต้องหาที่พักซึ่งเป็นกระท่อมร้างเพื่อหลบหิมะก่อน เมื่อทั้งคู่หลับลง กลางดึกนั้นมีเพียงชายคนที่อายุน้อยกว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นผู้หญิงที่สวมกิโมโนสีขาว หน้าตาซีดเผือด และมีแววตาที่น่ากลัว เป่าลมหายใจใส่ชายคนที่มีอายุมากกว่า ชายคนที่อายุน้อยกว่าตกใจมากจนพูดไม่ออก แล้วสาวหิมะก็เข้ามากระซิบว่าเธอจะไว้ชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขาไม่แพร่งพรายเรื่องของเธอให้ใครรู้ แล้วสาวหิมะก็หายตัวไป เขาพบว่าชายคนที่สูงวัยกว่าได้แข็งตายไปแล้ว
หลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง หน้าตาซีดเผือด แต่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี เขาตัดสินใจแต่งงานและอยู่กินกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกกับเขาถึง 10 คน แต่ความงามของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดเดียว วันหนึ่งสามีก็เกิดหลุดปาก เล่าเรื่องสาวหิมะออกมาให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยิน เธอก็คืนร่างกลับเป็นสาวหิมะตนเดิม ตนเดียวกับที่สามีเคยเจอ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฝ่ายสามีเกิดหวาดกลัวภรรยา แต่เพราะว่าเธอเห็นแก่ลูกๆ จึงไว้ชีวิตสามีแล้วหายตัวไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับสาวหิมะนางนั้นอีกเลย
ช่วงปีใหม่ ถ้าใครที่อยากไปสัมผัสหิมะ คงต้องไปเที่ยวแถบฮอคไกโดนะคะ ได้เจอหิมะแน่นอน เมื่อพูดถึงหิมะ ก็มารู้จักคำว่า "หิมะ" ในภาษาญี่ปุ่นกันหน่อยดีกว่า
หิมะ ในภาษาญี่ปุ่นก็คือ "雪 (yuki) นะคะ
แต่ถ้าพูดคนไทยพูดคำว่า "หิมะ" คนญี่ปุ่นอาจได้ยินเป็นคำว่า "้暇 (hima)" ที่แปลว่า "เวลาว่าง" ก็ได้นะคะ
ถ้าเพื่อนๆ ไปเที่ยวแถบฮอคไกโด หรือทางแถบจังหวัดอิวาเตะ ซึ่งเป็นทางตอนเหนือของญี่ปุ่นที่มีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี ตอนกลางคืนต้องระวัง "雪女 yuki onna" ด้วยนะคะ
ว่าแต่ 雪女 (yuki onna) คืออะไรล่ะ?
ถ้าเรามาแยกคำศัพท์กัน ก็จะได้เป็น "雪(yuki) ที่แปลว่า "หิมะ" ส่วนคำว่า "女 (Onna) ก็แปลว่า "ผู้หญิง" เมื่อนำมารวมกันก็จะแปลว่า "สาวหิมะ" หรือ "ปิศาจหิมะ" นั่นเอง
สาวหิมะ หรือ ยุกิอนนะ (ญี่ปุ่น: 雪女 yuki onna นางหิมะ ) ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม ว่ากันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงใหลในความงามของนางไปสู่ความตาย
เรื่องเล่าของสาวหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสาวหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสาวหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตาย
ทว่าเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของสาวหิมะ เป็นเรื่องที่มีอยู่ว่า ชายตัดฟืน 2 คน คนหนึ่งยังหนุ่ม ส่วนอีกคนค่อนข้างมีอายุ ติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่สามารถกลับได้ จึงต้องหาที่พักซึ่งเป็นกระท่อมร้างเพื่อหลบหิมะก่อน เมื่อทั้งคู่หลับลง กลางดึกนั้นมีเพียงชายคนที่อายุน้อยกว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นผู้หญิงที่สวมกิโมโนสีขาว หน้าตาซีดเผือด และมีแววตาที่น่ากลัว เป่าลมหายใจใส่ชายคนที่มีอายุมากกว่า ชายคนที่อายุน้อยกว่าตกใจมากจนพูดไม่ออก แล้วสาวหิมะก็เข้ามากระซิบว่าเธอจะไว้ชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขาไม่แพร่งพรายเรื่องของเธอให้ใครรู้ แล้วสาวหิมะก็หายตัวไป เขาพบว่าชายคนที่สูงวัยกว่าได้แข็งตายไปแล้ว
หลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง หน้าตาซีดเผือด แต่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี เขาตัดสินใจแต่งงานและอยู่กินกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกกับเขาถึง 10 คน แต่ความงามของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดเดียว วันหนึ่งสามีก็เกิดหลุดปาก เล่าเรื่องสาวหิมะออกมาให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยิน เธอก็คืนร่างกลับเป็นสาวหิมะตนเดิม ตนเดียวกับที่สามีเคยเจอ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฝ่ายสามีเกิดหวาดกลัวภรรยา แต่เพราะว่าเธอเห็นแก่ลูกๆ จึงไว้ชีวิตสามีแล้วหายตัวไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับสาวหิมะนางนั้นอีกเลย
Posted by mod at
15:52
│Comments(0)
2015年12月23日
天皇のお誕生日 วันพระราชสมภพของพระจักรพรรดิ
เดือนธันวาคมในความรู้สึกของคนทั่วไปๆ คือเดือนสุดท้ายของปี คนส่วนใหญ่ก็คงจะเฝ้ารอวันหยุดยาว และโบนัสประจำปี แต่สำหรับคนไทยแล้ว เดือนนี้มีความพิเศษมากที่สุดกว่าเดือนอื่นๆ คือเป็นเดือนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพ ถือเป็นเดือนมหามงคลยิ่ง
นอกเหนือจากนั้นแล้ว เดือนธันวาคมในความรู้สึกนึกคิดของชาวญี่ปุ่น เป็นเดือนที่มีความสำคัญไม่แพ้ความรู้สึกของชาวไทย เพราะเป็นเดือนพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 明仁 Akihito) ซึ่งเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันของประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย คือเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 จึงทรงมีพระชนมพรรษาอ่อนกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ที่เสด็จพระราชสมภพในปี พ.ศ.2470 เพียง 6 พรรษา
สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น หรือ emperor ในภาษาอังกฤษ, หรือ “เท็นโน” (天皇;tennō) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ของประวัติศาสตร์การสืบราชสันตติวงศ์ของประเทศญี่ปุ่น ในปัจจุบันนี้ถือว่า พระองค์ทรงเป็นพระประมุขเพียงพระองค์เดียวในโลก ที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระจักรพรรดิ" ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เป็น "พระมหากษัตริย์"
พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ดังกล่าวมาแล้ว ณ พระราชวังโตเกียว ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอลำดับที่ 5 ใน 7 พระองค์ แต่ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์โตของพระราชบิดา คือสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต หรือพระนามที่ได้รับการถวายหลังเสด็จสวรรคตแล้วว่า"จักรพรรดิโชวะ" และสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ หรือพระนามที่ได้รับการถวายหลังจากเสด็จสวรรคตแล้วเช่นกันว่า "จักรพรรดินีโคจุน" เมื่อเสด็จพระราชสมภพแล้วทรงได้รับพระราชทานพระยศเป็น "เจ้าสึงุ" อันเป็นพระยศเสมอด้วย "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ" และทรงเข้าพระราชพิธีแต่งตั้งเป็น "มกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ" เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 แล้วขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 125 แห่งญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2532 (ค.ศ. 1989)
ที่นี่เราลองมาดูกันสิคะว่า ในภาษาญี่ปุ่นเรียก "วันพระราชสมภพของพระจักรพรรดิ" ว่าอย่างไร
เขาเรียกว่า 天皇のお誕生日 ( tennou no otanjyoubi )
คำว่า 天皇 ( tennou ) แปลว่าองค์จักรพรรดิ
ส่วนคำว่า 誕生日 ( tanjyoubi ) ก็คือวันเกิด
แต่เนื่องจากองค์จักรพรรดิเป็นผู้สูงศักดิ์ทางญี่ปุ่นเ จึงมีการใส่ お ( o ) ไว้ข้างหน้าเพื่อเป็นการยกย่อง
ในกรณีจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ตามขนบญี่ปุ่น การกล่าวถึงพระองค์จะไม่เอ่ยพระนาม และจะไม่เอ่ยถึงพระองค์ด้วยชื่อยุคสมัย แต่จะเอ่ยอย่างเป็นทางการว่า “จักรพรรดิรัชกาลปัจจุบัน” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “คินโจเท็นโน” (今上天皇; kinjō tennō) หรือคำที่พูดในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลายกว่าคือ “สมเด็จพระจักรพรรดิ” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “เท็นโนเฮกะ” (天皇陛下; tennō hēka) ด้วยขนบดังกล่าว สำหรับพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สื่อมวลชนหรือประชาชนของญี่ปุ่นไม่เอ่ยพระนามเลย แต่สื่อภาษาอังกฤษและสื่อไทยมักจะเขียนว่า Emperor Akihito หรือ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ นอกจากนี้ ในรัชกาลปัจจุบันซึ่งเรียกว่าสมัยเฮเซ (平成;Hēsē; ปีปัจจุบันคือเฮเซที่ 27) จะไม่เรียกว่าจักรพรรดิเฮเซ การเอ่ยถึงจักรพรรดิโดยใช้ชื่อสมัยจะกระทำเมื่อสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์ไปแล้ว เช่น “จักรพรรดิ (แห่งยุค) เมจิ” เรียกว่า “เมจิเท็นโน” (明治天皇;Mēji Tennō), “จักรพรรดิ (แห่งยุค) โชวะ” เรียกว่า “โชวะเท็นโน” (昭和天皇;Shōwa Tennō)
อ้างอิงจาก : วิกิพีเดีย
นอกเหนือจากนั้นแล้ว เดือนธันวาคมในความรู้สึกนึกคิดของชาวญี่ปุ่น เป็นเดือนที่มีความสำคัญไม่แพ้ความรู้สึกของชาวไทย เพราะเป็นเดือนพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 明仁 Akihito) ซึ่งเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันของประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย คือเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 จึงทรงมีพระชนมพรรษาอ่อนกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ที่เสด็จพระราชสมภพในปี พ.ศ.2470 เพียง 6 พรรษา
สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น หรือ emperor ในภาษาอังกฤษ, หรือ “เท็นโน” (天皇;tennō) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ของประวัติศาสตร์การสืบราชสันตติวงศ์ของประเทศญี่ปุ่น ในปัจจุบันนี้ถือว่า พระองค์ทรงเป็นพระประมุขเพียงพระองค์เดียวในโลก ที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระจักรพรรดิ" ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เป็น "พระมหากษัตริย์"
พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ดังกล่าวมาแล้ว ณ พระราชวังโตเกียว ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอลำดับที่ 5 ใน 7 พระองค์ แต่ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์โตของพระราชบิดา คือสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต หรือพระนามที่ได้รับการถวายหลังเสด็จสวรรคตแล้วว่า"จักรพรรดิโชวะ" และสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ หรือพระนามที่ได้รับการถวายหลังจากเสด็จสวรรคตแล้วเช่นกันว่า "จักรพรรดินีโคจุน" เมื่อเสด็จพระราชสมภพแล้วทรงได้รับพระราชทานพระยศเป็น "เจ้าสึงุ" อันเป็นพระยศเสมอด้วย "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ" และทรงเข้าพระราชพิธีแต่งตั้งเป็น "มกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ" เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 แล้วขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 125 แห่งญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2532 (ค.ศ. 1989)
ที่นี่เราลองมาดูกันสิคะว่า ในภาษาญี่ปุ่นเรียก "วันพระราชสมภพของพระจักรพรรดิ" ว่าอย่างไร
เขาเรียกว่า 天皇のお誕生日 ( tennou no otanjyoubi )
คำว่า 天皇 ( tennou ) แปลว่าองค์จักรพรรดิ
ส่วนคำว่า 誕生日 ( tanjyoubi ) ก็คือวันเกิด
แต่เนื่องจากองค์จักรพรรดิเป็นผู้สูงศักดิ์ทางญี่ปุ่นเ จึงมีการใส่ お ( o ) ไว้ข้างหน้าเพื่อเป็นการยกย่อง
ในกรณีจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ตามขนบญี่ปุ่น การกล่าวถึงพระองค์จะไม่เอ่ยพระนาม และจะไม่เอ่ยถึงพระองค์ด้วยชื่อยุคสมัย แต่จะเอ่ยอย่างเป็นทางการว่า “จักรพรรดิรัชกาลปัจจุบัน” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “คินโจเท็นโน” (今上天皇; kinjō tennō) หรือคำที่พูดในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลายกว่าคือ “สมเด็จพระจักรพรรดิ” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “เท็นโนเฮกะ” (天皇陛下; tennō hēka) ด้วยขนบดังกล่าว สำหรับพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สื่อมวลชนหรือประชาชนของญี่ปุ่นไม่เอ่ยพระนามเลย แต่สื่อภาษาอังกฤษและสื่อไทยมักจะเขียนว่า Emperor Akihito หรือ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ นอกจากนี้ ในรัชกาลปัจจุบันซึ่งเรียกว่าสมัยเฮเซ (平成;Hēsē; ปีปัจจุบันคือเฮเซที่ 27) จะไม่เรียกว่าจักรพรรดิเฮเซ การเอ่ยถึงจักรพรรดิโดยใช้ชื่อสมัยจะกระทำเมื่อสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์ไปแล้ว เช่น “จักรพรรดิ (แห่งยุค) เมจิ” เรียกว่า “เมจิเท็นโน” (明治天皇;Mēji Tennō), “จักรพรรดิ (แห่งยุค) โชวะ” เรียกว่า “โชวะเท็นโน” (昭和天皇;Shōwa Tennō)
อ้างอิงจาก : วิกิพีเดีย
Posted by mod at
17:00
│Comments(0)
2015年12月22日
人工知能が入ったロボットなどで英語の勉強をする สอนภาษาอังกฤษด้วยหุ่นยนต์สมองกล
บริษัท IT ของไอซ์แลนด์ได้เริ่มต้นให้บริการเรียนภาษาอังกฤษทางอินเตอร์เน็ทได้แล้วตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีนี้
โดยเทคโนโลยีนี้เรียกว่า “Cooori” คือเทคโนโลยีล้ำสมัยที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้การเรียนรู้ภาษาของคุณสนุกและน่าสนใจ
ทางบริษัทฯ ได้นำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) คือการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ให้มีพฤติกรรมเหมือนคนเข้ามาใช้งาน
สำหรับการให้บริการดังกล่าวนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์จะสำรวจว่าคนที่กำลังเรียนอยู่นั้นเข้าใจภาษาอังกฤษมากน้อยเพียงไร แล้วจะเปลี่ยนเนื้อหาในการสอนให้มีความละเอียดมากขึ้น เพราะว่าจะต้องใช้เวลากับหัวข้อเรื่องที่ทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยสามารถที่จะนำหัวข้อที่ผิดกลับมาออกข้อสอบใหม่ได้อีกครั้งหนึ่งด้วย
บริษัท IT ของอเมริกาจะสร้างหุ่นยนต์ที่ใส่ปัญญาประดิษฐ์ที่น่ามีประโยชน์ในการเรียนภาษาอังกฤษเข้าไปด้วย
ก่อนอื่น วางแผนว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
หุ่นยนต์ตัวนี้จะพิจารณาถึงความสนใจและงานอดิเรกของผู้เรียนไปพร้อมๆ กับการสนทนา แล้วก็จะกำหนดเนื้อหาในการสอน
คนที่บริษัทแห่งนี้ได้กล่าวว่า “เพราะจะมีการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว จึงคิดว่าหุ่นยนต์ตัวนี้จะมีประโยชน์มากกับคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษ
อย่างไร ถ้านำมาวางจำหน่ายในประเทศไทย อาจขอใช้บริการสักหน่อยนะคะ
โดยเทคโนโลยีนี้เรียกว่า “Cooori” คือเทคโนโลยีล้ำสมัยที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้การเรียนรู้ภาษาของคุณสนุกและน่าสนใจ
ทางบริษัทฯ ได้นำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) คือการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ให้มีพฤติกรรมเหมือนคนเข้ามาใช้งาน
สำหรับการให้บริการดังกล่าวนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์จะสำรวจว่าคนที่กำลังเรียนอยู่นั้นเข้าใจภาษาอังกฤษมากน้อยเพียงไร แล้วจะเปลี่ยนเนื้อหาในการสอนให้มีความละเอียดมากขึ้น เพราะว่าจะต้องใช้เวลากับหัวข้อเรื่องที่ทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยสามารถที่จะนำหัวข้อที่ผิดกลับมาออกข้อสอบใหม่ได้อีกครั้งหนึ่งด้วย
บริษัท IT ของอเมริกาจะสร้างหุ่นยนต์ที่ใส่ปัญญาประดิษฐ์ที่น่ามีประโยชน์ในการเรียนภาษาอังกฤษเข้าไปด้วย
ก่อนอื่น วางแผนว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
หุ่นยนต์ตัวนี้จะพิจารณาถึงความสนใจและงานอดิเรกของผู้เรียนไปพร้อมๆ กับการสนทนา แล้วก็จะกำหนดเนื้อหาในการสอน
คนที่บริษัทแห่งนี้ได้กล่าวว่า “เพราะจะมีการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว จึงคิดว่าหุ่นยนต์ตัวนี้จะมีประโยชน์มากกับคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษ
อย่างไร ถ้านำมาวางจำหน่ายในประเทศไทย อาจขอใช้บริการสักหน่อยนะคะ
Posted by mod at
17:22
│Comments(0)
2015年12月21日
คอนเฟิร์มชินคันเซนฮอกไกโด วิ่งในวันที่ 26 มีนาคม 2016 นี้!!
การเดินทางไปฮอกไกโดต่อไปนี้จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะมีการคอนเฟิร์มออกมาแล้วว่า “ ชินคันเซนฮอกไกโด จะเริ่มต้นวิ่งในวันที่ 26 มีนาคม 2016 นี้!!
สิ้นสุดการรอคอยกันเสียทีกับการออกมายืนยันเปิดแน่นอนรถไฟหัวกระสุนชินคันเซน เส้นทางโตเกียว-ซัปโปโรจากความร่วมกันของ Hokkaido Railway Co. ร่วมกับ East Japan Railway Co. (JR East) ที่จะให้บริการ 13 เที่ยวต่อวัน (ไป-กลับ)
10 เที่ยวโดยรุ่น Hayabusa train เส้นทาง Shin-Hakodate-Hokuto Station – Tokyo เป็นขบวนที่เร็วที่สุด ใช้เวลา 4 ชม. 10 นาที วิ่งผ่านอุโมงค์เซคังที่เชื่อมเกาะฮอนชู และเกาฮอกไกโด
1 เที่ยว โดยรุ่น Hayabusa train เส้นทาง Shin-Hakodate-Hokuto Stationและ Sendai
2 เที่ยวโดยรุ่น Hayate train เส้นทางจาก Shin-Hakodate-Hokuto Station – Shin-Aomori Station จังหวัด Aomori และ Morioka จังหวัด Iwate
โดยราคาค่าตั๋วจาก Tokyo - Hakodate ก็ 22,690 เยน ตู้ Green Car 30,060 เยน แต่ถ้านั่ง Gran Class ก็ 38,280 เยน
ในวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทำบอร์ดประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งให้ทราบว่านับจากนี้อีกกี่วันที่ Hokkaido Shinkansen จะเริ่มต้นวิ่งให้บริการอย่างเต็มรูปแบบที่4 สถานีอย่างเช่นที่สถานีรถไฟโตเกียวและสถานีรถไฟเซนไดของ JR
อย่างเช่นที่สถานีรถไฟเซนไดนั้น หัวหน้าสถานีก็จะแนะนำบอร์ดประชาสัมพันธ์ที่แจ้งให้ทราบว่า “นับจากนี้อีก 100 วัน” จะได้พบกับการให้บริการแบบเต็มรูปแบบ
ส่วนที่สถานีรถไฟซับโปโรได้มอบกล่องใส่นามบัตรที่วาดรูปของรถไฟชินคันเซนไว้ให้กับลูกค้าที่มาจากต่างประเทศเป็นของขวัญ
หนุ่มจากเกาหลีที่ได้รับกล่องใส่นามบัตรได้กล่าวว่า “มีความรู้สึกว่ารถไฟชินคันเซนนั้นวิ่งได้รวดเร็วและปลอดภัย จึงคิดว่าอยากจะลองนั่งดูสักวันหนึ่งให้ได้”
ปี 2016 ใครจะไปฮอคไกโดอย่าลืมไปใช้บริการนะคะ แล้วมาเล่าให้กันฟังบ้างนะคะว่ารวดเร็ว สะดวกสบายขนาดไหน
สิ้นสุดการรอคอยกันเสียทีกับการออกมายืนยันเปิดแน่นอนรถไฟหัวกระสุนชินคันเซน เส้นทางโตเกียว-ซัปโปโรจากความร่วมกันของ Hokkaido Railway Co. ร่วมกับ East Japan Railway Co. (JR East) ที่จะให้บริการ 13 เที่ยวต่อวัน (ไป-กลับ)
10 เที่ยวโดยรุ่น Hayabusa train เส้นทาง Shin-Hakodate-Hokuto Station – Tokyo เป็นขบวนที่เร็วที่สุด ใช้เวลา 4 ชม. 10 นาที วิ่งผ่านอุโมงค์เซคังที่เชื่อมเกาะฮอนชู และเกาฮอกไกโด
1 เที่ยว โดยรุ่น Hayabusa train เส้นทาง Shin-Hakodate-Hokuto Stationและ Sendai
2 เที่ยวโดยรุ่น Hayate train เส้นทางจาก Shin-Hakodate-Hokuto Station – Shin-Aomori Station จังหวัด Aomori และ Morioka จังหวัด Iwate
โดยราคาค่าตั๋วจาก Tokyo - Hakodate ก็ 22,690 เยน ตู้ Green Car 30,060 เยน แต่ถ้านั่ง Gran Class ก็ 38,280 เยน
ในวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทำบอร์ดประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งให้ทราบว่านับจากนี้อีกกี่วันที่ Hokkaido Shinkansen จะเริ่มต้นวิ่งให้บริการอย่างเต็มรูปแบบที่4 สถานีอย่างเช่นที่สถานีรถไฟโตเกียวและสถานีรถไฟเซนไดของ JR
อย่างเช่นที่สถานีรถไฟเซนไดนั้น หัวหน้าสถานีก็จะแนะนำบอร์ดประชาสัมพันธ์ที่แจ้งให้ทราบว่า “นับจากนี้อีก 100 วัน” จะได้พบกับการให้บริการแบบเต็มรูปแบบ
ส่วนที่สถานีรถไฟซับโปโรได้มอบกล่องใส่นามบัตรที่วาดรูปของรถไฟชินคันเซนไว้ให้กับลูกค้าที่มาจากต่างประเทศเป็นของขวัญ
หนุ่มจากเกาหลีที่ได้รับกล่องใส่นามบัตรได้กล่าวว่า “มีความรู้สึกว่ารถไฟชินคันเซนนั้นวิ่งได้รวดเร็วและปลอดภัย จึงคิดว่าอยากจะลองนั่งดูสักวันหนึ่งให้ได้”
ปี 2016 ใครจะไปฮอคไกโดอย่าลืมไปใช้บริการนะคะ แล้วมาเล่าให้กันฟังบ้างนะคะว่ารวดเร็ว สะดวกสบายขนาดไหน
Posted by mod at
17:44
│Comments(0)
2015年12月18日
โรค Ringo-Byoo
ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว อย่างไรเพื่อนๆ ก็ต้องระวังรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด หรือไข้เลือดออก
แต่ว่าเพื่อนๆ เคยได้ยินชื่อโรค "リンゴ病" (Ringo-Byoo) กันบ้างมัยเอ่ย คำว่า "リンゴ" (Ringo) ในภาษาญีปุ่นแปลว่า "แอ๊ปเปิ้ล" ส่วนคำว่า "病(びょう) แปลว่า โรคภัยหรือไม่สบายนั่นเอง แล้วโรคนี้มันเกี่ยวกับแอ๊ปเปิ้ลอย่างไรนั้น เรามาดูกันนะคะ
โรค Ringo-Byoo หรือโรคฟิฟธ์ ที่ในภาษาอังกฤษบางครั้งเรียกว่า Slapped-cheek disease เพราะโรคทำให้เกิดผื่นสีแดงที่แก้มทั้งสองข้าง ทำให้ดูคล้ายกับลูกแอ๊ปเปิ้ลนั่นเอง มักพบในเด็กอายุ 5-14 ปี เชื้อที่เป็นสาเหตุคือ human parvovirus B19
โรคฟิฟธ์ ติดต่อทางการหายใจ มีระยะฟักตัวประมาณ 5-10 วัน มักไม่มีอาการนำ หรือถ้ามีก็เป็นลักษณะไข้ต่ำ ๆ หนักศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นหวัด พออาการเหล่านี้หายสนิทได้ 2-3 วันก็จะมีผื่นแดงขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง แก้มจะร้อน แต่ไม่เจ็บ ต่อมาจะมีผื่นขึ้นตามแขนขา ลำตัว และอาจพบที่ฝ่ามือฝ่าเท้าด้วย
ลักษณะผื่นจะเริ่มด้วยจุดแดงเล็ก ๆ เป็นปื้น แต่ต่อมาผื่นตรงกลางจะจางไป ทำให้ดูเหมือนเป็นร่างแหหรือลายลูกไม้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคฟิฟธ์ ผื่นจะเป็นอยู่ประมาณ 5 วันก็จะหายไป แล้วกลับเป็นซ้ำใหม่ โดยเฉพาะเมื่อถูกความเย็น อาบน้ำ ออกกำลังกายกลางแดด หรือมีความเครียด ผื่นจะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ประมาณ 1-3 สัปดาห์ก็จะหายสนิท
อาการของโรคฟิฟธ์
โดยทั่วไปไม่พบภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ มีเพียงบางรายที่เกิดอาการข้ออักเสบหลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว อาการข้ออักเสบมักเป็นกับข้อเล็ก ๆ เช่น นิ้วมือ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อจะบวม ปวด ต่อมาอีกหลายสัปดาห์ มักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่
รักษาโรคฟิฟธ์ทำอย่างไร
ถ้าลักษณะของผื่นหากไม่ชัดต้องวินิจฉัยแยกโรคจากหัดเยอรมันและผื่นแพ้ยา โดยอาศัย rubella HI antibody และประวัติการรับประทานยาเข้ามาช่วย ถ้ามีอาการปวดข้อตามมาโดยเฉพาะในเพศหญิงต้องวินิจฉัยแยกโรคจากโรค SLE ด้วย
หากเป็นโรคฟิฟธ์จริงไม่ต้องรักษา เพราะอาการน้อยมาก โรคจะหายได้เอง ยกเว้นในรายที่มีข้ออักเสบ อาจต้องใช้ยาแก้อักเสบเพื่อควบคุมอาการปวด
ในประเทศไทยนั้น พบโรคนี้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะ แต่สำหรับในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ดูเหมือนโรคนี้จะแพร่ระบาดเป็นการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลชอง National Institute of Infectious Diseases, NIID ทำให้ทราบว่าในโรงพยาบาลกว่า 3,000 แห่ง มีผู้ป่วยเป็นโรค “Ringo-Byoo” เข้ามารับการรักษาราวๆ 2,480 คนในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 6 เดือนธ.ค.นี้
โรคเป็นโรคที่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้ แล้วมักพบในเด็กเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่จะเป็นไม่ได้ ผู้ใหญ่เองก็มีโอากสเป็นได้เช่นกัน
ถ้าเป็นคุณผู้หญิงที่มีครรภ์เป็นล่ะก็ จะมีโอกาสที่จะทำให้เด็กที่อยู่ในครรภ์เสียชีวิตได้เช่นเดียวกับโรคหัดเยอรมันเลยทีเดียว ดังนั้นจึงต้องระวังไว้ให้ดีนะคะ
ตามปกติแล้ว คนที่เป็นโรค “Ringo-Byoo” มักจะเป็นกันในช่วงฤดูร้อนมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าตั้งแต่เดือน ต.ค.ของปีนี้จะมีคนเป็นเพิ่มมากขึ้นด้วย
โดยเฉพาะในแถบคิวชูและแถบโทโฮคุจะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เพิ้มมากขึ้น
ทางด้านของ National Institute of Infectious Diseases, NIID ได้กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อไม่ให้ติดโรคนี้ก็คือจะต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ” นั่นเอง
แต่ว่าเพื่อนๆ เคยได้ยินชื่อโรค "リンゴ病" (Ringo-Byoo) กันบ้างมัยเอ่ย คำว่า "リンゴ" (Ringo) ในภาษาญีปุ่นแปลว่า "แอ๊ปเปิ้ล" ส่วนคำว่า "病(びょう) แปลว่า โรคภัยหรือไม่สบายนั่นเอง แล้วโรคนี้มันเกี่ยวกับแอ๊ปเปิ้ลอย่างไรนั้น เรามาดูกันนะคะ
โรค Ringo-Byoo หรือโรคฟิฟธ์ ที่ในภาษาอังกฤษบางครั้งเรียกว่า Slapped-cheek disease เพราะโรคทำให้เกิดผื่นสีแดงที่แก้มทั้งสองข้าง ทำให้ดูคล้ายกับลูกแอ๊ปเปิ้ลนั่นเอง มักพบในเด็กอายุ 5-14 ปี เชื้อที่เป็นสาเหตุคือ human parvovirus B19
โรคฟิฟธ์ ติดต่อทางการหายใจ มีระยะฟักตัวประมาณ 5-10 วัน มักไม่มีอาการนำ หรือถ้ามีก็เป็นลักษณะไข้ต่ำ ๆ หนักศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นหวัด พออาการเหล่านี้หายสนิทได้ 2-3 วันก็จะมีผื่นแดงขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง แก้มจะร้อน แต่ไม่เจ็บ ต่อมาจะมีผื่นขึ้นตามแขนขา ลำตัว และอาจพบที่ฝ่ามือฝ่าเท้าด้วย
ลักษณะผื่นจะเริ่มด้วยจุดแดงเล็ก ๆ เป็นปื้น แต่ต่อมาผื่นตรงกลางจะจางไป ทำให้ดูเหมือนเป็นร่างแหหรือลายลูกไม้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคฟิฟธ์ ผื่นจะเป็นอยู่ประมาณ 5 วันก็จะหายไป แล้วกลับเป็นซ้ำใหม่ โดยเฉพาะเมื่อถูกความเย็น อาบน้ำ ออกกำลังกายกลางแดด หรือมีความเครียด ผื่นจะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ประมาณ 1-3 สัปดาห์ก็จะหายสนิท
อาการของโรคฟิฟธ์
โดยทั่วไปไม่พบภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ มีเพียงบางรายที่เกิดอาการข้ออักเสบหลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว อาการข้ออักเสบมักเป็นกับข้อเล็ก ๆ เช่น นิ้วมือ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อจะบวม ปวด ต่อมาอีกหลายสัปดาห์ มักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่
รักษาโรคฟิฟธ์ทำอย่างไร
ถ้าลักษณะของผื่นหากไม่ชัดต้องวินิจฉัยแยกโรคจากหัดเยอรมันและผื่นแพ้ยา โดยอาศัย rubella HI antibody และประวัติการรับประทานยาเข้ามาช่วย ถ้ามีอาการปวดข้อตามมาโดยเฉพาะในเพศหญิงต้องวินิจฉัยแยกโรคจากโรค SLE ด้วย
หากเป็นโรคฟิฟธ์จริงไม่ต้องรักษา เพราะอาการน้อยมาก โรคจะหายได้เอง ยกเว้นในรายที่มีข้ออักเสบ อาจต้องใช้ยาแก้อักเสบเพื่อควบคุมอาการปวด
ในประเทศไทยนั้น พบโรคนี้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะ แต่สำหรับในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ดูเหมือนโรคนี้จะแพร่ระบาดเป็นการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลชอง National Institute of Infectious Diseases, NIID ทำให้ทราบว่าในโรงพยาบาลกว่า 3,000 แห่ง มีผู้ป่วยเป็นโรค “Ringo-Byoo” เข้ามารับการรักษาราวๆ 2,480 คนในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 6 เดือนธ.ค.นี้
โรคเป็นโรคที่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้ แล้วมักพบในเด็กเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่จะเป็นไม่ได้ ผู้ใหญ่เองก็มีโอากสเป็นได้เช่นกัน
ถ้าเป็นคุณผู้หญิงที่มีครรภ์เป็นล่ะก็ จะมีโอกาสที่จะทำให้เด็กที่อยู่ในครรภ์เสียชีวิตได้เช่นเดียวกับโรคหัดเยอรมันเลยทีเดียว ดังนั้นจึงต้องระวังไว้ให้ดีนะคะ
ตามปกติแล้ว คนที่เป็นโรค “Ringo-Byoo” มักจะเป็นกันในช่วงฤดูร้อนมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าตั้งแต่เดือน ต.ค.ของปีนี้จะมีคนเป็นเพิ่มมากขึ้นด้วย
โดยเฉพาะในแถบคิวชูและแถบโทโฮคุจะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เพิ้มมากขึ้น
ทางด้านของ National Institute of Infectious Diseases, NIID ได้กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อไม่ให้ติดโรคนี้ก็คือจะต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ” นั่นเอง
Posted by mod at
19:38
│Comments(0)
2015年12月18日
水族館に「くらげ」を入れたグラスのクリスマスツリー ต้นคริสมาสต์แมงกะพรุน
เพื่อนๆ คนไหนชอบไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบ้างคะ ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบมากๆ ตอนเด็กๆ ถ้าไปบางแสนจะต้องแวะเข้าไปดูเกือบทุกครั้ง แม้กระทั่งตอนไปญี่ปุ่นก็ยังได้ไปเยี่ยมชมเลย แต่เสียดายวันที่ไปมีคนเยอะมากๆๆๆๆ ก็เลยดูสัตว์น้ำไม่ค่อยชัด เห็นแต่ปลาหัวคน 555
แต่วันนี้จะพาไปรู้จักกับ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) กันค่ะ
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในภาษาญี่ปุ่น เราจะเรียกกันว่า “水族館(すいぞくかん)” (Suizokukan)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) ตั้งอยู่ในบริเวณ คุจูคุชิมะ เพิร์ลซี รีสอร์ท ( Kujyukushima Pearl Sea Resort )ในเมืองซาเซโบะ (Sasebo) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki)
ที่นี่เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และแหล่งรวบความบันเทิง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้มีพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ และยังมีโดมแสดงแมงกะพรุนมากกว่า 100 ชนิดซึ่งเรียกว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ออกแบบมาให้มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องลงมาได้ เมื่อแหงนมองขึ้นไปด้านบนก็จะเห็นปลาจำนวนมากแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า
แล้วไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ โชว์ปลาโลมาแสนรู้ และยังมีชุดการแสดงความสามารถพิเศษมากมายที่หาชมได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุกอย่างเพลิดเพลินเช่น การให้อาหารปลา และกิจกรรมแกะหอยมุกซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะนำหอยมุกนั้นไปทำเป็นเครื่องประดับชนิดไหนได้อีกด้วย
แต่ถ้าเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวในช่วงใกล้ๆ คริสมาสต์นี้ เราก็จะได้เห็นต้นคริสมาสต์ที่ทำจากแก้วไวน์ที่ใส่แมงกะพรุนไว้ แล้วก็ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ จะมีแมงกะพรุนราวๆ 30 ชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลที่จังหวัดนางาซากิ โดยเขาจะนำแมงกะพรุนขนาดตัวราวๆ 3 ซม. จำนวน 67 ตัวบรรจุลงไปในแก้วที่ใช้ดื่มไวท์ แล้วนำแก้วจำนวนดังกล่าวมาตั้งวางเรียงกัน 5 ชั้นให้เป็นรูปทรงคล้ายกับต้นคริสมาสต์ โดยจะมีความสูงอยู่ที่ 2 เมตร เราจะเห็นแมงกะพรุนเปล่งแสงเป็นสีแดงและสีเขียวระยิบระยับเป็นประกายสวยงาม
แมงกะพรุนในภาษาญี่ปุ่นเรียกกันว่า “くらげ” (Kurage)
หนุ่มไต้หวันถึงกับเอ่ยปากว่า “มันดูแปลกตา แล้วก็สวยงามมากๆ” ต้นคริสมาสต์ต้นนี้จะจัดแสดงอยู่จนถึงวันที่ 25 เดือน ธ.ค.นี้ ถ้าใครมีโอกาสไปดู อย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันด้วยนะคะ
แต่วันนี้จะพาไปรู้จักกับ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) กันค่ะ
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในภาษาญี่ปุ่น เราจะเรียกกันว่า “水族館(すいぞくかん)” (Suizokukan)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) ตั้งอยู่ในบริเวณ คุจูคุชิมะ เพิร์ลซี รีสอร์ท ( Kujyukushima Pearl Sea Resort )ในเมืองซาเซโบะ (Sasebo) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki)
ที่นี่เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และแหล่งรวบความบันเทิง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้มีพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ และยังมีโดมแสดงแมงกะพรุนมากกว่า 100 ชนิดซึ่งเรียกว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ออกแบบมาให้มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องลงมาได้ เมื่อแหงนมองขึ้นไปด้านบนก็จะเห็นปลาจำนวนมากแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า
แล้วไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ โชว์ปลาโลมาแสนรู้ และยังมีชุดการแสดงความสามารถพิเศษมากมายที่หาชมได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุกอย่างเพลิดเพลินเช่น การให้อาหารปลา และกิจกรรมแกะหอยมุกซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะนำหอยมุกนั้นไปทำเป็นเครื่องประดับชนิดไหนได้อีกด้วย
แต่ถ้าเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวในช่วงใกล้ๆ คริสมาสต์นี้ เราก็จะได้เห็นต้นคริสมาสต์ที่ทำจากแก้วไวน์ที่ใส่แมงกะพรุนไว้ แล้วก็ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ จะมีแมงกะพรุนราวๆ 30 ชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลที่จังหวัดนางาซากิ โดยเขาจะนำแมงกะพรุนขนาดตัวราวๆ 3 ซม. จำนวน 67 ตัวบรรจุลงไปในแก้วที่ใช้ดื่มไวท์ แล้วนำแก้วจำนวนดังกล่าวมาตั้งวางเรียงกัน 5 ชั้นให้เป็นรูปทรงคล้ายกับต้นคริสมาสต์ โดยจะมีความสูงอยู่ที่ 2 เมตร เราจะเห็นแมงกะพรุนเปล่งแสงเป็นสีแดงและสีเขียวระยิบระยับเป็นประกายสวยงาม
แมงกะพรุนในภาษาญี่ปุ่นเรียกกันว่า “くらげ” (Kurage)
หนุ่มไต้หวันถึงกับเอ่ยปากว่า “มันดูแปลกตา แล้วก็สวยงามมากๆ” ต้นคริสมาสต์ต้นนี้จะจัดแสดงอยู่จนถึงวันที่ 25 เดือน ธ.ค.นี้ ถ้าใครมีโอกาสไปดู อย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันด้วยนะคะ
Posted by mod at
19:08
│Comments(0)