インバウンドでタイ人を集客! 事例多数で万全の用意 [PR]
ナムジャイブログ
ブログポータルサイト「ナムジャイ.CC」 › 日本が好き › 2016年01月

【PR】

本広告は、一定期間更新の無いブログにのみ表示されます。
ブログ更新が行われると本広告は非表示となります。
  

Posted by namjai at

2016年01月29日

ขึ้นเรือชมธารน้ำแข็งแรกของปีนี้ด้วย ガリンコ号

สวัสดีค่ะ วันนี้ก็เป็นวันศุกร์แล้ว เวลาช่างเดินเร็วเสียเหลือเกิน เหมือนเช่นอากาศเย็นที่ปกคลุมกรุงเทพของเรา มาเร็วไปเร็วจริงๆ นะคะ แต่ยังคงทิ้งผลลัพธ์ไว้คือ การเป็นหวัดค่ะ

ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยชอบอากาศเย็นสักเท่าไร แต่ฉันก็มีความฝันว่าอยากจะไปตะลุยธารน้ำแข็งสักครั้ง สงสัยดูไททานิคมากไปหน่อย




การไปชมธารน้ำแข็งนั้นก็ไม่ต้องไปถึงขั้วโลกก็ได้นะคะ เพราะว่าฉันเห็นจากในหนังสือนำเที่ยว เราสามารถไปชมธารน้ำแข็งกันได้ที่ฮอคไกโดค่ะ




ธารน้ำแข็ง Drift Ice ที่ทะเล Okhotsk แห่งฮอกไกโด ธารน้ำแข็งมักจะเกิดขึ้นในบริเวณทะเลอาร์คติกและแอนตาร์คติก สามารถพบเห็นได้ที่เกาะฮอกไกโดในฤดูหนาว แล้วเราก็สามารถเดินทางมาได้สะดวกทั้งจากโตเกียวและซัปโปโร ด้วยเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพื่อสัมผัสประสบการ์ณสุดตื่นตากับธารน้ำแข็งบนพื้นผิวมหาสมุทร




เราสามารถท่องไปในมหาสมุทรกับเรือตัดน้ำแข็งขนาดยักษ์ Garinko-go ในญี่ปุ่นได้ ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม แต่ถ้าพีคสุดๆ เห็นจะเป็นในเดือนกุมภาพันธ์ มีทัวร์ที่พาไปท่องทะเลธารน้ำแข็งจากท่าเรือ Abashiri และท่าเรือ Monbetsu

การขึ้นเรือ Garinko-go หมายเลข 2 จากท่าเรือ Monbetsu ท่องทะเลน้ำแข็งนั้น อาจโชคดีได้เห็นสัตว์ต่างๆ อย่าวเช่นที่นกอินทรีย์ทะเล Steller และ แมวน้ำลายจุดก็เป็นได้นะคะ (ความฝันสูงสุดเลยค่ะ เคยเห็นแต่ในสวนสัตว์)






เมื่อน้ำเเข็งเกาะตัวกันแน่น เรือ Garinko-go หมายเลข 2 จะใช้สว่านเจาะน้ำแข็งขนาดใหญ่เพื่อให้เรือสามารถล่องต่อไปได้ เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของการขึ้นเรือลำนี้เลย ที่เราจะสามารถชมการเจาะน้ำเเข็งได้อย่างใกล้ชิด



เรือ Drift Ice Cruise จะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ถึง 31 มีนาคม ของทุกปี เรือจะออกเวลา 9.00, 10.30, 12.00, 13.30 และ 15.00 น. สำหรับเดือนกุมภาพันธ์จะมีเรือรอบพิเศษออกเวลา 6.00 น. เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น และเวลา 16.10 น. เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตก

กรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นได้ออกมาประกาศในวันที่ 27 ม.ค.ที่่ผ่านมา ธารน้ำแข็งอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 20-30 กิโลเมตร แล้วก็ได้มีการออกเรือ “Garingo go” ในเช้าวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมาเพื่อไปเพลิดเพลินกับการชมธารน้ำแข็ง

โดยเรือ “Garingo go” ได้ออกเดินทางในเวลา 9 โมงเช้า แล้วเข้าไปในบริเวณธารน้ำแข็งประมาณ 10 โมง เมื่อเจอน้ำแข็งที่เกาะตัวแน่น ก็จะใช้สว่านเจาะให้เป็นรูปวงรี โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตรและหนาประมาณ 20 เซนติเมตร ผู้คนที่อยู่บนเรือต่างก็เพลินเพลินและสนุกกับการถ่ายรูปกันเต็มที่ แล้วบนเรือลำนี้ ก็มีคนไทยที่ไปร่วมทริปด้วย ได้มาเล่าให้ฟังว่า "นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นธารน้ำแข็ง แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมากเลย"

ช่างเป็นทริปที่น่าเที่ยวจัง อยากไปให้ได้สักครั้งนึง แล้วก็อยากไปยืนทำท่าแจ็คกับโรสในเรื่องไทนานิคที่หัวเรือด้วย คงโรแมนติกน่าดูเลย อิอิ



  

Posted by mod at 12:23Comments(0)

2016年01月28日

“Tukkata luukthep” はタイの新しいお守りです。

“Tukkata luukthep” と言う人形はタイの新しいお守りです。“Tukkata luukthep”の意味は神様の子供の人形です。でも中身には聖なる物がいます。



タイでは人気が爆発し、大ブレイク中!! 形は普通のような人形です。身につけていると、幸運を招いてくれたり、願いが叶ったりする、といわれています。


どこでも連れていて、いっしょに食事をして、服を買ってあげます。子供のように面倒します。



食事します。



エステイします。




勉強します。  

Posted by mod at 14:16Comments(0)

2016年01月27日

クロマグロ ปลามากุโร่

วันนี้ วันพุธที่ 27 ม.ค. กรุงเทพฯ ก็ยังมีอากาศเย็นอยู่เล็กน้อย พอให้ได้ชื่นใจ โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบอากาศเย็นสักเท่าไร
แต่เช่้านี้ต้องไปช่วยคุณแม่ซื้อของที่ตลาด ก็เลยต้องเดินฝ่าลมหนาวออกไป วัตถุดิบในการทำอาหารของคุณแม่ก็จะเป็นพวกผัก และปลา แล้วปลาที่คุณแม่เลือกสรรก็ต้องเป็นปลาที่ให้ไขมันดีด้วยนะคะ อย่างเช่นปลาแซลมอล ปลาหิมะ เป็นต้น

ทำให้นึกไปถึงตลาดปลาที่ญี่ปุ่นเลย นอกจากตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Fish Market) ที่โตเกียวแล้ว ก็ยังมีตลาดปลาที่น่าสนใจอีกทีหนึ่งด้วยนะคะ




นั่นก็คือตลาดปลาท่าเรือคาซึอุระเกียว ที่จังหวัดวาคายามา เป็นท่าเรือที่มีชื่อเสียงในด้านการจับปลามากุโร่ และขึ้นปลามะกุโระได้มากที่สุด อย่างเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ก็สามารถจับปลามากุโร่ได้ แถมเป็น "ฮงมากูโร่" (クロマグロ - ทูน่าครีบน้ำเงิน) เสียด้วย เพราะว่าเป็นปลาทูน่าสายพันธุ์ที่มีรสชาติดี ราคาสูง แล้วตัวที่จับได้ในครั้งนี้มีความยาวประมาณ 2.5 เมตรและมีน้ำหนักถึง 417 กก. จึงได้รับการประกาศว่าเป็นปลามากุโร่ที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่จับได้ที่ท่าเรือแห่งนี้นับตั้งแต่เริ่มมีการจดบันทึกมาตั้งแต่ในปี 1998




ถ้าพูดถึงการประมูลปลาแล้ว ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศของการประมูลปลาที่ตลาดปลาซึกิจิที่โตเกียวแล้ว คุณจะต้องแหกขี้ตาตื่น ไปลงทะเบียนเพื่อชมบรรยากาศการประมูลตั้งแต่ก่อนตีห้า แต่ถ้าที่เมือง Katsuura นี้ ไม่ต้องดิ้นรนขนาดนั้นค่ะ เพราะตลาดปลาที่นี่เริ่มการประมูลในเวลา 7:00 น. สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาชมการประมูล ทางตลาดจะจัดให้ชมจากชั้น 2 เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนกิจกรรมการประมูล แต่ถ้าอยากชมแบบใกล้ชิด ก็มีบริการไกด์พาลงไปชมด้านล่าง และให้ความรู้ในระยะใกล้แบบสัมผัสปลาได้ด้วย




กระบวนการประมูลจะเริ่มต้นจากนำปลาที่แยกตามขนาดมาวางเรียงกัน ที่ตัวปลาจะมีกระดาษแปะไว้ซึ่งเขียนน้ำหนักของตัวปลา โดยบนพื้นของตลาดที่วางปลาจะต้องมีการปล่อยน้ำให้ไหลผ่านตลอดเวลา ผู้ร่วมประมูลจะเดินสำรวจปลากัน จากนั้นจะเขียนเลขลงราคาลงในกระดาษและส่งประมูล ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดก็จะได้ปลาไป



สังเกตเห็นได้ว่าปลาบางส่วนมีการเฉือนเนื้อบริเวณหางและเปิดออก หรือบางตัวที่ใหญ่ๆ จะตัดส่วนหางออกมาเลย เพื่อให้ผู้ประมูลเห็นถึงสีและความสดของเนื้อปลาได้นั่นเอง

สำหรับปลามากุโร่ตัวนี้ถูกประมูลได้ในราคาราวๆ 2 ล้านเยนเลยทีเดียว ปลาตัวนี้มีขนาดใหญ่มากจนใส่ลงไปในกล่องไม่ได้ ก็เลยต้องตัดหัวไปเล็กน้อยแล้วค่อยใส่เข้าไป

คุณโคดะมะ ฮิโรชิที่เป็นเจ้าของเรือที่จับปลามากุโรได้เล่าว่า “ผมเคยตกปลามากุโรที่มีน้ำหนักตัว 360 กก.มาแล้ว แต่สำหรับตัวนี้ ผมตกใจมากกับความใหญ่มหึมาขนาดนี้”


ส่วนต่างๆของปลามากุโร่ (ปลาทูน่า) ยังแยกความอร่อยที่แตกต่างกันด้วยนะ เช่น




Akami อะคามิ คือเนื้อส่วนกลางลำตัว ส่วนใหญ่จะทานตรงนี้เพราะมีเนื้อมากกว่าส่วนอื่นๆ
Otoro โอโทโร่ คือเนื้อบริเวณส่วนท้อง มีเนื้อนุ่มและอุดมไปด้วยไขมัน เป็นส่วนที่แพงที่สุด
Chutoro ชูโทโร่ คือเนื้อส่วนที่ถัดจากท้อง ไปที่บริเวณโคนหาง เป็นส่วนที่มีไขมันน้อย
Noten โนเต็น คือเนื้อส่วนหน้าผาก
Hoho โฮโฮ คือเนื้อส่วนแก้ม
Kamatoro คามะโทโร่ คือเนื้อระหว่างซอกเหงือกและคอ
Sekami เซกามิ คือเนื้อส่วนหัว
Senaka เซนะกะ คือเนื้อส่วนหลังที่มีเอ็นน้อย เนื้อละเอียด
Seshimo เซชิโมะ คือเนื้อส่วนหลังค่อนไปทางหาง
Harashimo ฮาระชิโมะ คือเนื้อท่อนล่างช่วงหาง
Nakaochi นากาโอชิ คือเนื้อที่ติดก้าง
Kawagishi คาวะกิชิ คือเศษเนื้อที่ติดหนังปลา



  

Posted by mod at 14:15Comments(0)

2016年01月26日

“洗車”(sensha)

อังคารที่ 26 ม.ค. ทำไมอากาศเย็นเช่นนี้ ทำให้นึกถึงตอนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องท้าลมหนาว และความหนาวเย็นทำงานพาร์ทไทม์ในปั๊ทมน้ำมันเลยค่ะ ไม่ใช่แค่คอยรับรถเพื่อมาเติมน้ำมันนะคะ แต่ต้องล้างรถด้วยค่ะ “洗車”(sensha)โดยเฉพาะการล้างรถแบบที่เรียกว่า "手洗い" (Tearai) นั่นทรมานสุดๆ บางคนสงสัยว่ามันคืออะไร? ถ้าล้างรถด้วยมือเราดีๆ นี่เอง



การล้างนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าล้างนะคะ เรียกว่าต้องล้วงเข้าไปทุกซอกทุกมุมเลย โดยเฉพาะล้อแม็กซ์สวยๆ มีซี่ถี่ๆ นิ้วแทบหลุดเลยล่ะคะ (เฉพาะฉะนั้นตอนมีรถเองก็เลยใช้ฝาครอบล้อแบบปกติธรรมดา ล้างง่ายๆ ซึ้งถึงอารมณ์ตอนล้าง) เมื่อล้างทำความสะอาดเสร็จก็ต้องใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งทุกซอกทุกมุมด้วยนะคะ แล้วก็เคลือบเงายางรถให้มันแผล่บ

ถ้าคันไหนเคลือบเงาขัดแว็กซ์ก็ต้องนั่งขัดจนกว่าคราบขาวจะหายไป และมันวับ คันนึงก็เกือบค่อนวันเลยล่ะคะ









เมื่อล้างข้างนอกเสร็จก็ต้องทำการดูดฝุ่นรถด้านใน เช็คกระจกให้สะอาดเอี่ยม ถ้าเป็นรถนั่งส่วนบุคคลทั่วๆ ไปก็สบายๆ ค่ะ แต่พวกรถตู้ขนาดเล็กที่ไว้ส่งพวกอาหารนะสิคะ อย่าให้บอกเลย กลิ่นสุดๆ แล้วก็เลอะสุดๆ กว่าจะทำความสะอาดเสร็จเรียกว่าหมดแรงข้าวปั้นกันเลยทีเดียว บางคันสูบบุหรี่จัด ก้นบุหรี่เพียบ เราก็ทำความสะอาดไปดมไปสิคะ แทบจะติดบุหรี่เลยล่ะ




แต่ก็แอบชอบเวลาดูดฝุ่นในรถนะคะ พอเราเห็นเศษเงินตก เราก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วรีบแหย่ท่อดูดฝุ่นเข้าไปเลยทันที แล้วมันก็มีเสียงดัง “ส้วบ แกร๊บ” โอ๊ย ฟินสุดๆ เลย รู้ใช่มัยคะว่าฟินเรื่องไร? พองานเลิกพวกเด็กปั๊มก็จะมาทำความสะอาดเครื่องดูดฝุ่น ก็ได้ค่ากดน้ำกระป๋องในตู้ดื่มกันเล็กๆ น้อยๆ ก็สนุกดีนะคะ (ว่าแต่บาปมัยอ่ะ)



  

Posted by mod at 13:33Comments(0)

2016年01月25日

อุปกรณ์คลายหนาวของชาวญี่ปุ่น

สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ แหมช่างเป็นเช้าวันจันทร์ที่อากาศเย็นสบายจริงๆ นึกว่าปีนี้จะไม่ได้สัมผัสลมเย็นเสียแล้ว แต่จู่ๆ ก็มาทำให้ปรับตัวแทบไม่ทันเหมือนกันนะคะ อย่างไรก็ระวังสุขภาพกันไว้หน่อย สำหรับอากาศเย็นๆ แบบนี้ เราคงไม่ต้องมีอุปกรณ์ป้องกันความเย็นอะไรกันมาก แค่เสื้อแขนยาวหนานิดๆ ก็คงใช้ได้แล้ว

แต่สำหรับฤดูหนาว (fuyu) ในประเทศญี่ปุ่นนั้น เรียกว่าช่วงนี้มีอุณหภูมิต่ำและหนาวเย็น จนถึงมีหิมะตกด้วย

ด้วยเหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงต้องหาอุปกรณ์ป้องกันหนาวกัน เรามาดูอุปกรณ์กันหนาว และวิธีคลายหนาวของชาวญี่ปุ่นกัน

เริ่มต้นจากที่ทุกบ้านจะต้องมีกัน




1. เครื่องปรับอากาศ หรือ eakon (danbou)
เครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ในบ้านของคนญี่ปุ่นนั้นสุดแสนจะไฮเทค เพราะว่านอกจากจะให้ความเย็นในฤดูร้อนเหมือนบ้านเราแล้ว เมื่อถึงฤดูหนาวก็ยังสามารถเปลี่ยนให้มาเป็นเครื่องทำความร้อนได้ (อันนี้แบบฮาส่วนตัวนะคะ ตอนเรียนภาษาญี่ปุ่น มีประโยคที่ว่า เพราะว่าอากาศหนาว ช่วยรบกวนเปิดเครื่องปรับอากาศหน่อย ตอนแรกมึน จะเปิดทำไม ลืมไปค่ะ ญี่ปุ่นเป็นเครื่องทำความร้อนได้ด้วย)



2. Kotatsu โคะตะทสึ
โต๊ะอุ่น หรือโคะตะทสึ เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะว่าคงไม่มีใครปฎิเสธว่าไม่เคยเห็น เพราะคงจะนึกภาพโต๊ะสี่เหลี่ยมที่สามารถสอดขาเข้าไปใต้โต๊ะแล้วนั่งล้อมวงกันดูทีวี หรือกินส้ม Kotatsu มี 2 แบบ คือแบบไฟฟ้า และแบบเตาถ่าน แต่ปัจจุบันก็คงจะใช้แบบไฟฟ้ากันเกือบหมดแล้ว (นี่ก็แอบฮาตัวเอง อยู่ญี่ปุ่นมันหนาว ก็นอนเอาเท้าสอดไว้ใต้โต๊ะพร้อมกับใส่รองเท้าที่เป็นตุ๊กตาด้วย พอนอนๆ ไปทำไมเหม็นไหม้อะไร อ้อ เท้าเราเองนี่นา 555)





3. hita denki (ฮีตเตอร์ ไฟฟ้า)
ก็เพราะมันหนาว บางทีก็ไม่สามารถนั่งแช่อยู่ใต้โต๊ะโคะตะทสึได้ตลอดเวลา เวลาเดินไปเดินมาในบ้าน หรือนั่งทำงานที่โต๊ะก็นำเป็นต้องมี ฮีตเตอร์ไฟฟ้า หรือในห้องนอนก็ต้อง ที่ญี่ปุ่นหากบ้านที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะมีไว้ได้หลาย ๆ ตัว




4. sutoobu มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า ""stove" หรือเตาความร้อน เตานี้ที่ญี่ปุ่นยังมีใช้กันอยู่ ซึ่งจะใช้น้ำมัน หรือแก๊สเป็นเชื้อเพลิง หน้าตาของมันก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ



5. hotto kapetto หรือ พรมอุ่น เป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนเมืองหนาว ดูรูปร่างหน้าตาของมันก็เหมือนพรมธรรมดาที่ที่แปลกก็คือ เมื่อเสียบปลั๊กเข้าไป พรมอันหน้านุ่มก็จะอุ่นขึ้นมาทันที ทำให้เท้าเมื่อเหยียบบนพรมได้รับความอบอุ่น สุดยอดจริง ๆ hotto kapetto นั้นมีหลากหลายขนาด ราคาก็ขึ้นอยู่กับขนาดของพรมและวัสดุที่ใช้ เครื่องทำความอุ่นชนิดนี้ก็เป็นที่นิยมเช่นกันในญี่ปุ่น



6. Denki Moufu หรือ ผ้านวมไฟฟ้า แม้ว่าประเทศไทยเวลาหนาวมาก ๆ ก็ต้องขุดผ้านวมมาห่มก็เพียงพอกับความอุ่นแล้ว แต่ว่าที่ญี่ปุ่นนั้น ยังมีผ้านวมไฟฟ้าอีกด้วย การใช้งานก็คือตอนเราห่มเราก็เสียบปลั๊กและสามารถปรับอุณหภูมิของผ้านวม ให้อุ่นได้ตามต้องการ (เอากลับมาจากญี่ปุ่นด้วย แต่ไม่รู้จะเอามาทำไม ประเทศไทยร้อนตลอดเลย)

Denki Moufu นั้นมีหลายขนาด ผืนใหญ่สามารถห่มได้ทั้งตัว หรือผืนเล็กสำหรับคลุมเท้า หรือคลุมตัวให้อบอุ่นก็มีค่ะ



7. Yutanpo หรือ กระเป๋าน้ำร้อน กระเป๋าน้ำร้อนก็สะดวกและนิยมใช้กันทุกบ้าน แถมมีดีไซน์กระเป๋าน้ำร้อนให้น่ารัก น่าใช้ ซึ่งสามารถใช้แทนเป็นหมอน หรือเอาไปซุกใต้เท้า หรือผ้าห่มเวลานอนเพื่อให้เท้าอบอุ่นขึ้นด้วย




Yutanpo ก็มีหลายแบบเช่นกัน มีแบบใช้วางเท้า หรือว่าเป็นถุงขนาดเล็กสำหรับพกพาไปข้างนอกได้ด้วย ช่างคิดจริง ๆ




8. Hokkairo สิ่งทำความอุ่นที่มีขนาดที่เล็กอยู่ในถุง ลองนึกถึงแผ่นเจลแปะลดไข้ของเด็กดูนะคะ แต่ Hokkairo นี้ตรงกันข้ามคือจะอุ่น เมื่อได้รับการเขย่า พอแกะออกจากซองก็ต้องเขย่า และจะอุ่นขึ้นมา สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ Hokkairoจะมีแถบกาวสามารถเอาแปะตามตัวได้ตามต้องการ และมีมากมายหลายขนาด บางคนกลัวหนาวก็แปะไว้ทั่วตัว ไม่ว่าจะเป็นปลายแขนเสื้อ ในถุงเท้า ในเข็มขัด เป็นต้น มาดูหน้าตาของ Hokkairo กัน
ส่วนผงที่บรรจุข้างในซองที่เมื่อเขย่าแล้วจะเกิดความร้อนนั้นก็มีมากมายหลายชนิด เช่น คาร์บอน, เหล็ก, เซลลูโลส, น้ำ เป็นต้น เมื่อสารนี้โดนอากาศก็จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งระยะเวลาก็แล้วแต่ชนิดของสารที่บรรจุ ซึ่งอาจจะใช้ได้เพียงแค่ 30 นาที หรือนานกว่า 2 ชั่วโมงก็มี

อุปกรณ์ทำความอบอุ่นให้กับร่างกายต่าง ๆ ที่เป็นสินค้าของญี่ปุ่นมักจะมีดีไซน์ที่น่ารัก คิขุ ตามแบบฉบับของญี่ปุ่น บางทีก็อดเอากลับมาด้วยไม่ได้ แต่จะใช้ทำไรล่ะ....อิอิ


  

Posted by mod at 14:02Comments(0)

2016年01月22日

Linear Chuo Shinkansen

ถ้าพูดถึงรถไฟความเร็วสูงที่มีชื่อเสียงมากของคนญี่ปุ่นล่ะก็ ทุกคนคงจะรู้จักดีสินะคะ นั่นก็คือรถไฟชินคันเซ็นนั่นเอง หรือบางคนจะเรียกว่า "รถไฟหัวกระสุน" ก็ได้ เพราะด้วยความที่รูปลักษณ์ที่เป็นหัวแหลมๆ แล้วก็วิ่งเร็วดุจหัวกระสุน

ตอนแรกฉันนึกว่ารถไฟชินคันเซ็นจะมีแค่ขบวนหรือสองขบวนเท่านั้น จริงๆ แล้วมีมากมาย และมีชื่อหลากหลาย ซึ่งแบ่งตามสายการวิ่ง แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักรถไฟชินคันเซ็นสายใหม่กัน นั่นก็คือชูโอชินคันเซ็น (Chuo Shinkansen) โดยมีชื่อว่า "Linear Chuo Shinkansen "



Chuo Shinkasen เป็นเส้นทางใหม่ ที่เชื่อมระหว่างกรุงโตเกียว โคฟุ นาโงย่า นาระ โอซาก้า และรถไฟที่นำมาใช้คือ รถไฟ Linear Shinkansen
เจ้า Linear (ลิเนียร์) คือรถไฟ ที่ใช้พลังงานแม่เหล็ก หรือ Technology Maglev หรือเรียกอีกอย่างว่ารถไฟพลังแม่เหล็กนั้นเอง โดยตัวรถไฟจะลอยอยู่เหนือแม่เหล็กและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและด้วยสาเหตุที่ตัวรถไฟลอยอยู่เหนือพื้นนี่เอง ทำให้ Maglev สามารถลดเเรงเสียดทานกับพื้นซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ล้อและเดินทางไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

รถไฟ Linear Shinkansen สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 580 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในขณะนี้กำลังศึกษาค้นคว้าอยู่ที่ เมืองยามาชิ โดยถ้าวิ่งระหว่างสถานีรถไฟชินางาว่าของกรุงโตเกียวกับสถานีรถไฟนาโกย่าก็ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเท่านั้น หากเป็นไปตามแผน รถไฟพลังแม่เหล็กอันนี้ จะเปิดให้บริการในปี 2027 และเมื่อถึงเวลานั้น รถไฟของญี่ปุ่น จะเดินทางเร็วกว่าเครื่องบินอีก

Japan Maglev เร็วมากขนาดไหน ?

รูปภาพเปรียบเทียบความเร็วของ Japan maglev train เมื่อเปรียบเทียบกับ China maglav train รถ F-1 และรถไฟความเร็วสูงรุ่นเดิม Shinkansen รวมถึงรถไฟความเร็วสูงในยุโรป



*หากนำความเร็วของ Maglev ไปเปรียบเทียบกับเครื่องบิน Airbus A320 ที่มีความเร็วประมาณ 800 กิโลเมตร/ชั่วโมง Maglev เกือบจะทำความเร็ววิ่งไล่ Airbus A320 ได้อย่าน่ากลัวด้วยความเร็ว 600 กิโลเมตร/ชั่วโมง

JR Tokai ได้ออกมาประกาศว่าจะเริ่มก่อสร้างที่สถานีรถไฟชินางาว่าตั้งแต่วันที่ 27 เดือนม.ค.นี้ โดย Linear Chuo Shinkansen ที่สถานีรถไฟชินางาว่า จะวิ่งใต้ดินเป็นระยะทาง 40 เมตรที่ด้านล่างของสถานีรถไฟชินางาว่าของ Tokaido Shinkansen และทำการขุดใต้ดินไปพร้อมๆ กับใช้สถานีรถไฟของชินคันเซ็นไปด้วย

Linear Chuo Shinkansen ได้เริ่มต้นการก่อสร้างอุโมงค์รอดผ้านจังหวัดยามานาชิ, จังหวัดชิซึโอกะและจังหวัดนางาโนะมาตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว

พวกเราก็อดใจรอกันอีกประมาณ 12 ปีจากนี้ ก็จะได้นั่งรถไฟชินคันเซ็นขบวนนี้แล้ว

ที่มาของข้อมูล
jusci.net, bbc.com, wsj.com , Youtube.com/channel/RT
  

Posted by mod at 19:45Comments(0)

2016年01月21日

Fukumame เทศกาลปาถั่ว

วันนี้ วันที่ 21 ม.ค แล้ว ก็ผ่านช่วงปีใหม่มาพอสมควร ในเดือนถัดมาก็เป็นเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเข้าสู่วันวาเลนไทน์ของสากล เรามาดูก่อนสิว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้นเขาต้อนรับสิ่งใหม่ๆ ในฤดูกาลใหม่ๆ อย่างไรกัน

ประเทศญี่ปุ่นวันแบ่งฤดูกาลระหว่างฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิมักจะตรงกับ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เรียกว่า วันเซ็ตสึบุน (節分, Setsubun) และในวันนี้ก็มีประเพณีทางศาสนาการปาถั่วมงคล เรียกว่า Fukumame หรือเทศกาลปาถั่วนั่นเอง




พอพูดถึงเทศกาลปาถั่ว และเห็นหน้ากากยักษ์ก็อดคิดถึงคุณ Shiroma ไม่ได้ เพราะว่าเราเคยร่วมมือกันจัด "Shiro Shiro Club" ที่เป็นการเชิญชวนคนไทยที่รักแลชอบในประเทศญีปุ่นมานั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แล้วตอนต้นเดือน ก.พ. เราก็เลยแนะนำเทศกาลปาถั่ว เพื่อให้เกิดความสมจริงสมจัง ก็เลยขอร้องให้คุณ Shiroma เป็นยักษ์ให้หน่อย แล้วให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้ปาถั่วและตะโกนเสียงดังๆ ว่า "Oni wa soto! Fuku wa uchi"
เรียกว่าสนุกสนานกันมาก ต้องขอบคุณ คุณ Shiroma อีกครั้งที่ทำให้กิจกรรมสนุกยิ่งขึ้น

ทีนี้เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า

การปาถั่วนั้นหมายถึงการขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกไป เพื่อต้อนรับความสุขในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาถึงในไม่ช้า




ในช่วงเทศกาลนี้ เด็กๆ จะนิยมกินถั่วเหลืองเท่าจำนวนอายุของตนเองแล้วที่เหลือจะนำไปใส่ยักษ์((Oni) ) อาจจะเป็นพ่อที่ใส่หน้ากาก และให้คนในบ้านขว้างปาถั่วใส่ พร้อมกับตะโกนดังๆ ด้วยว่า Oni wa soto! Fuku wa uchi! (鬼は外!福は内!) หมายความว่า ความชั่วร้ายจงออกไป ความสุขจงเข้ามา โดยยักษ์เป็นตัวแทนของสิ่งไม่ดี



แล้วทำไมต้องเป็น "ถั่ว" ขว้างอย่างอื่นได้มัย?

เค้าเชื่อกันว่า ถั่วเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ สามารถขับไล่สิงชั่วร้ายออกไปจากบ้านเรือนได้ และยังมีความเชื่อที่ว่าการรับประทานถั่วเหลืองคั่วตามจำนวนอายุ หรือในบางพื้นที่ก็ทานมากกว่าอายุไปหนึ่งปี จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรงไปตลอดทั้งปีนี้และปีหน้าอีกด้วย

ทำไมต้องเป็นหน้ากากยักษ์ ?

สำหรับญี่ปุ่น เรียก ยักษ์ ว่า โอนิ (鬼,Oni) เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นปีศาจ อสูรร้าย ที่มักจะนำพาความโชคร้าย สิ่งไม่เป็นมงคล โรคภัยไข้เจ็บมาสู่ผู้คน เป็นปีศาจในจินตนาการของคนญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณและมักจะพบในวรรณคดี นิทาน เรื่องเล่าขานในศาสนาของคนญี่ปุ่นอยู่เสมอ

ที่วัดพุทธและศาลเจ้าชินโตจะมีพิธีโปรยถั่วเหลืองคั่ว เรียกว่า Fukumame บรรจุในภาชนะห่ออย่างดี โดยผู้โปรยถั่วก็คือนักบวชหรือตามวัดดังๆ ก็จะมีคนดังเป็นแขกรับเชิญ เช่นนักกีฬาซูโม่ ดารา เป็นต้น มาร่วมโปรยถั่วมงคลอีกด้วย




ปัจจุบัน Fukumame นั่นมีสินค้าแพคเกจออกให้เลือกสรรมากมายกันเลยทีเดียว


ด้านหน้าค่ะ


ด้านหลัง





  

Posted by mod at 14:06Comments(0)

2016年01月20日

義理チョコ ช็อคโกแลตที่ให้ตามมารยาท

วันนี้เป็นภาคต่อของช็อคโกแลตวันวาเลนไทน์จากเมื่อวานนี้นะคะ ที่ญี่ปุ่นนั้นในวันวาเลนไทน์ นอกจากการให้ช็อคโกแลตกับคนที่เราชอบหรือแอบปิ๊งอยู่แล้ว ก็ยังมีช็อกโกแลตอีกประเภทหนึ่งที่ให้กับเพื่อน ๆ หรือคนที่ไม่ได้คิดแบบแฟนจะเรียกว่า 義理チョコ : ぎりちょこ อ่านว่า giri choko (คำว่า 義理 : ぎり giri นั้นแปลว่ามารยาท หรือทำตามหน้าที่)




ดังนั้น จึงหมายความว่าช็อคโกแลตที่ให้ตามมารยาท ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ช็อคโกแลตประเภทนี้ส่วนใหญ่หญิงสาวจะให้กับเพื่อนร่วมงาน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือเพื่อนผู้ชายที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งช็อคโกแลตที่ให้ก็อาจจะเป็นช็อคโกแลตธรรมดาที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านค้า การให้ช็อคโกแลตประเภทนี้ นอกจากจะให้ตามมารยาทแล้ว ก็ถือเป็นวิธีการที่แสดงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันได้อีกด้วย




แล้วเมื่อวันที่ 14 ที่ผ่านมา ที่สถานีรถไฟฟ้า JR โตเกียว ได้มีเปิดร้านที่ขายเฉพาะ “giri choko” หรือเรียกได้ว่าเป็น "義理チョコの専門店" เลยก็ว่าได้ โดยร้านนี้จะเปิดเฉพาะกิจในช่วงวาเลนไทน์เท่านั้น ที่ร้านนี้ก็ได้มีการจัดชุด “giri choko” ไว้ให้เลือกสรรมากมาย อย่างเช่นชอคโกแลตรสเลมอน รสออกเปรี้ยวๆ








ส่วนด้านหลังของแพคเกจยังมีการเขียนอย่างเช่นว่า “giri choko 90%” คือเป็นช็อคโกแลตที่ให้ตามมารยาท 90% นะ ไม่ได้คิดอะไรกับคุณเลยจริงๆ โดยมีการแบ่ง "giri choko” ไว้ตั้งแต่ 10%-100% มีทั้งหมด 6 แบบ ถือได้ว่าเป็นการขายความเป็นเอกลักษณ์จริงๆ แล้วในการเลือกชนิดของช็อคโกแลตก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เรามีต่อฝ่ายผู้รับ (ช่างคิดเนอะ) แบบว่าแอบสงสารคนที่ได้รับ giri choko 100% จัง





  

Posted by mod at 12:38Comments(0)

2016年01月19日

ชอคโกแลตวาเลนไทน์ ราคา 26,000 เยน อุ๊ แม่เจ้า!!!

สวัสดีคะ เพือนๆ นี่ก็ใกล้จะหมดเดือน ม.ค. แล้ว เวลาช่างไวเสียเหลือเกิน ทำอะไรแทบจะไม่ทันกันเลยทีเดียว

แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นเขานั้นมีการวางแผนงานอย่างดีมาก พอเดือนหน้า ก็เข้าสู่เดือน ก.พ. แล้ว สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ ก็คงต้องคิดถึงวันแห่งความรักสินะคะ




ใช่ค่ะ เดือนหน้าวันที่ 14 เป็นวันวาเลนไทน์แล้ว แต่ญีปุ่นเขาไม่รอช้า เขาได้จัดงานแนะนำชอคโกแลตระดับพรีเมี่ยมสำหรับวางจำหน่ายในปีนี้กันแล้วที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในโตเกียว เรียกว่าเอาชอคโกแลตมาแนะนำกว่า 40 ชนิดกันเลย ไม่ว่าจะเป็นชอคโกแลตที่กินได้หรือกินไม่ได้ก็ตาม




สำหรับชอคโกแลตที่กินได้ที่มีราคาสูงถึง 26,000 เยนก็มีมาแนะนำด้วยนะคะ แต่ทำไมถึงได้มีราคาสูงเช่นนั้น ก็เพราะว่าได้บรรจุชอคโกแลตลงในบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามอลังการระดับพรีเมี่ยมเลย เป็นบรรจุภัณฑ์จากบริษัทที่ผลิตภาชนะใส่อาหารที่แม้แต่ราชวงศ์ของอังกฤษยังใช้กัน หลังจากทานชอคโกแลตหมดแล้ว ก็ยังนำมาใช้งานต่อได้อีกด้วย (จะมีใครซื้อให้บ้างมัยเนี่ย อิอิ)




(ภาพซูมผลงานการวาดดอกเบญจมาศค่ะ สวยเนอะ)

ต่อมาก็เป็นชอคโกแลตที่เป็นภาพวาดดอกเบญจมาศของคุณโองาตะ โคริน (尾形光琳) ซึ่งเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในยุคโอเดะ




แล้วก็ยังมีชอคโกแลตที่ใช้อย่างเช่นถั่วดำและส้มยูซุที่คนญี่ปุ่นทานกันมาตั้งแต่สมัยโบราณใส่ลงไปในชอคโกแลตด้วย

ห้างสรรพสินค้าดังกล่าวยังบอกด้วยว่า “สมัยนี้มีคนที่ซื้อชอคโกแลตในราคาแพงๆ เพื่อเป็นของขวัญสำหรับตัวเองเพิ่มมากขึ้นด้วย ก็เลยคิดว่าอยากจะขายชอคโกแลตที่สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้ได้ไม่ว่าจะในยามที่มองหรือกินก็ตาม

เดือนหน้า ถ้ามีใครให้สักอัน คงจะดีใจมากๆ เลย   

Posted by mod at 13:54Comments(0)

2016年01月18日

คนดื่มเบียร์เพิ่มมากขึ้น แม้ราคาจะแพงก็ตาม

เพื่อนๆ คนไหนเป็นคอเบียร์บ้างคะ โดยเฉพาะเบียร์ญี่ปุ่น ซึ่งเบียร์ญี่ปุ่นนั้นจะมี 4 ยี่ห้อหลักคือ Kirin (กิเลน) Asahi Suntory และ Supporo

แต่เคยมีใครสงสัยกันบ้างมัยค่ะว่า "ทำไมราคาเบียร์ในร้านสะดวกซื้อหรือซุเปอร์มาร์เกตถึงราคาไม่เท่ากัน?"




เบียร์ญี่ปุ่นนั้น ถ้าดูเผินๆ จะคิดว่าเหมือนกัน แต่จริงๆแล้วเบียร์ญี่ปุ่นนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ ビール (biru) , 発泡酒 (happoshu) และ 発泡性(happosei)

ความแตกต่างระหว่างทั้ง 3 ประเภทคือ



1.ประเภทแรก ビール (biru) คือเบียร์ที่มีปริมาณมอลท์ 67% ขึ้นไป




2.ประเภทที่สอง 発泡酒 (happoshu) คือเบียร์ที่มีปริมาณมอลท์ 25%-66% และไม่ผสมเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอลชนิดอื่น คือจะเป็น Low-Malt Beer แต่ถ้าจะแปลชื่อ Happoushu ให้ตรงตัวก็คือ เหล้าที่มีฟอง ซึ้งมาจากคำว่า Happou ที่แปลว่า เป็นฟอง ส่วนคำว่า Shu ก็คือ เหล้า ที่ปกติเราอ่านว่า Sake




3.ประเภทที่สาม 発泡性 (happosei) หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือ 第三のビール (daisan biru) คือมีปริมาณมอลท์ต่ำกว่า 25% หรือไม่มีมอลท์เลย และผสมกับเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอลชนิดอื่น ในปี 2004 ได้เริ่มมีการผลิตเบียร์ชนิดนี้ขึ้นมา โดยใช้คำว่า Sei ที่แปลว่าประเภท แทนคำว่า Shu เนื่องจากมันถูกผลิตโดยใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่จาก ถั่วเหลือง ข้าว ข้าวโพด มันฝรั่ง แทนการใช้ Malt ซึ่งในตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะราคาที่ถูกกว่า สังเกตได้จากที่กระป๋องจะเขียนคำว่า Liquor แทน

จากข้อมูลที่บริษัทผู้ผลิตเบียร์ได้ออกมาแถลงนั้น เมื่อปีที่แล้ว “เบียร์”「ビール」, “happoshu” 「発泡酒」 และ "Daisan Biru" (第三のビール) ที่ส่งจากโรงงานไปยังร้านค้าต่างๆ นั้นมีปริมาณทั้งหมดประมาณ 5,380,000 kL ซึ่งมีปริมาณลดน้อยลงกว่าปีก่อนๆ 0.5% แล้วก็มีปริมาณลดน้อยลงต่อเนื่องกันมา ถึง 11 ปีแล้ว

แต่ในบรรดาเครื่องดิ่มเหล่านั้น มีแค่เบียร์เท่านั้นที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น 0.1% แต่ตัว "เบียร์" เอง ตลอด 19 ปีที่ผ่านมาก็ประสบปัญหาเรื่องปริมาณที่ลดลงต่อเนื่องทุกๆ ปี แต่เมื่อปีที่แล้วกลับมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น

แต่บริษัทผลิตเบียร์นั้นก็คิดว่า ถึงแม้เบียร์จะมีราคาที่สูงกว่าพวก “Happoshu (発泡酒) และ “Daisan Beer (第 3のビール) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีรสชาติคล้ายกับเบียร์ แต่ก็มีคนที่อยากลิ้มลองและเพลิดเพลินกับรสชาติเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น เมื่อปีที่แล้ว บริษัทฯ จึงได้ออกผลิตภัณฑ์เบียร์ใหม่ๆ ที่มีรสชาติต่างจากที่เคยมีมากก่อนมากมาย

แล้วในปีนี้ ก็มีแผนการที่จะออกวางจำหน่ายเบียร์ที่คำนึงถึงสุขภาพและเบียร์ที่มีรสชาติต่างจากเดิมในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

เบียร์เด็ก



อ้อแล้วอีกอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับเบียร์ญี่ปุ่นก็คือ ญี่ปุ่นมีสูตรการเก็บภาษีเครื่องดื่มน้ำเมาประเภทนี้เฉพาะตัว นั่นคือเก็บตามปริมาณส่วนผสมของ Malt ถ้ามี Malt มากก็จะเสียภาษีมาก ยกตัวอย่างเบียร์ 1 ขวดราคา 337 เยน จะเป็นภาษีรวมแล้วถึง 157 เยน หรือ 47% เลยทีเดียว

แต่ถ้าส่วนผสมของ Malt ต่ำกว่า 67% จะเสียภาษีถูกลงเหลือเพียง 36% เท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าห้ามเขียนที่ขวดหรือกระป๋องว่าเบียร์ ต้องใช้คำอื่นแทน ดังนั้นถ้าอยากจะกินเบียร์แท้ๆแบบต้นตำรับ จึงต้องสังเกตให้ดีก่อนซื้อ



แล้วในระยะหลัง เบียร์ญี่ปุ่นก็ยังพยายามทำให้เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากขึ้นด้วย จะมีคำว่า Zero ปรากฎอยู่ เช่น Zero Alcohol คือ เบียร์ที่ไม่มี Alcohol




สำหรับคอเบียร์ทั้งหลายคงต้องติดตามเบียร์รสชาติต่าง ของญี่ปุ่นต่อไปนะคะ  

Posted by mod at 16:06Comments(0)