› 日本が好き › 2015年12月
2015年12月17日
水族館に「くらげ」を入れたグラスのクリスマスツリー ต้นคริสมาสต์แมงกะพรุน
เพื่อนๆ คนไหนชอบไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบ้างคะ ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบมากๆ ตอนเด็กๆ ถ้าไปบางแสนจะต้องแวะเข้าไปดูเกือบทุกครั้ง แม้กระทั่งตอนไปญี่ปุ่นก็ยังได้ไปเยี่ยมชมเลย แต่เสียดายวันที่ไปมีคนเยอะมากๆๆๆๆ ก็เลยดูสัตว์น้ำไม่ค่อยชัด เห็นแต่ปลาหัวคน 555
แต่วันนี้จะพาไปรู้จักกับ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) กันค่ะ
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในภาษาญี่ปุ่น เราจะเรียกกันว่า “水族館(すいぞくかん)” (Suizokukan)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) ตั้งอยู่ในบริเวณ คุจูคุชิมะ เพิร์ลซี รีสอร์ท ( Kujyukushima Pearl Sea Resort )ในเมืองซาเซโบะ (Sasebo) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki)
ที่นี่เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และแหล่งรวบความบันเทิง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้มีพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ และยังมีโดมแสดงแมงกะพรุนมากกว่า 100 ชนิดซึ่งเรียกว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ออกแบบมาให้มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องลงมาได้ เมื่อแหงนมองขึ้นไปด้านบนก็จะเห็นปลาจำนวนมากแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า
แล้วไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ โชว์ปลาโลมาแสนรู้ และยังมีชุดการแสดงความสามารถพิเศษมากมายที่หาชมได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุกอย่างเพลิดเพลินเช่น การให้อาหารปลา และกิจกรรมแกะหอยมุกซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะนำหอยมุกนั้นไปทำเป็นเครื่องประดับชนิดไหนได้อีกด้วย
แต่ถ้าเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวในช่วงใกล้ๆ คริสมาสต์นี้ เราก็จะได้เห็นต้นคริสมาสต์ที่ทำจากแก้วไวน์ที่ใส่แมงกะพรุนไว้ แล้วก็ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ จะมีแมงกะพรุนราวๆ 30 ชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลที่จังหวัดนางาซากิ โดยเขาจะนำแมงกะพรุนขนาดตัวราวๆ 3 ซม. จำนวน 67 ตัวบรรจุลงไปในแก้วที่ใช้ดื่มไวท์ แล้วนำแก้วจำนวนดังกล่าวมาตั้งวางเรียงกัน 5 ชั้นให้เป็นรูปทรงคล้ายกับต้นคริสมาสต์ โดยจะมีความสูงอยู่ที่ 2 เมตร เราจะเห็นแมงกะพรุนเปล่งแสงเป็นสีแดงและสีเขียวระยิบระยับเป็นประกายสวยงาม
แมงกะพรุนในภาษาญี่ปุ่นเรียกกันว่า “くらげ” (Kurage)
หนุ่มไต้หวันถึงกับเอ่ยปากว่า “มันดูแปลกตา แล้วก็สวยงามมากๆ” ต้นคริสมาสต์ต้นนี้จะจัดแสดงอยู่จนถึงวันที่ 25 เดือน ธ.ค.นี้ ถ้าใครมีโอกาสไปดู อย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันด้วยนะคะ
แต่วันนี้จะพาไปรู้จักกับ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) กันค่ะ
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในภาษาญี่ปุ่น เราจะเรียกกันว่า “水族館(すいぞくかん)” (Suizokukan)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอูมิคิระระ (Umi Kirara) ตั้งอยู่ในบริเวณ คุจูคุชิมะ เพิร์ลซี รีสอร์ท ( Kujyukushima Pearl Sea Resort )ในเมืองซาเซโบะ (Sasebo) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki)
ที่นี่เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และแหล่งรวบความบันเทิง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้มีพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ และยังมีโดมแสดงแมงกะพรุนมากกว่า 100 ชนิดซึ่งเรียกว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ออกแบบมาให้มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องลงมาได้ เมื่อแหงนมองขึ้นไปด้านบนก็จะเห็นปลาจำนวนมากแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า
แล้วไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ โชว์ปลาโลมาแสนรู้ และยังมีชุดการแสดงความสามารถพิเศษมากมายที่หาชมได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุกอย่างเพลิดเพลินเช่น การให้อาหารปลา และกิจกรรมแกะหอยมุกซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะนำหอยมุกนั้นไปทำเป็นเครื่องประดับชนิดไหนได้อีกด้วย
แต่ถ้าเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวในช่วงใกล้ๆ คริสมาสต์นี้ เราก็จะได้เห็นต้นคริสมาสต์ที่ทำจากแก้วไวน์ที่ใส่แมงกะพรุนไว้ แล้วก็ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ จะมีแมงกะพรุนราวๆ 30 ชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลที่จังหวัดนางาซากิ โดยเขาจะนำแมงกะพรุนขนาดตัวราวๆ 3 ซม. จำนวน 67 ตัวบรรจุลงไปในแก้วที่ใช้ดื่มไวท์ แล้วนำแก้วจำนวนดังกล่าวมาตั้งวางเรียงกัน 5 ชั้นให้เป็นรูปทรงคล้ายกับต้นคริสมาสต์ โดยจะมีความสูงอยู่ที่ 2 เมตร เราจะเห็นแมงกะพรุนเปล่งแสงเป็นสีแดงและสีเขียวระยิบระยับเป็นประกายสวยงาม
แมงกะพรุนในภาษาญี่ปุ่นเรียกกันว่า “くらげ” (Kurage)
หนุ่มไต้หวันถึงกับเอ่ยปากว่า “มันดูแปลกตา แล้วก็สวยงามมากๆ” ต้นคริสมาสต์ต้นนี้จะจัดแสดงอยู่จนถึงวันที่ 25 เดือน ธ.ค.นี้ ถ้าใครมีโอกาสไปดู อย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันด้วยนะคะ
Posted by mod at
19:42
│Comments(0)
2015年12月16日
新しい国立(こ競技場 2つのグループの計画を発表 เผยแปลนการสร้างสนามก๊ฬาโอลิมปิก 2 แบบ
อย่างที่เราๆ ได้ทราบกันแล้วถึงปัญหาการก่อสร้างสนามกีฬาแห่งชาติแห่งใหม่ของญี่ปุ่นเพื่อรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในอีก 5 ปีข้างหน้า ตามข่าวนั้นญี่ปุ่นได้ยกเลิกใช้แบบก่อสร้างสนามกีฬาโอลิมปิก 2020 ของซาฮา ฮาดิด สถาปนิกชาวอังกฤษเชื้อสายอิรัก เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จากปัญหาค่าก่อสร้างที่บานปลายเกือบ 2 เท่าจากงบประมาณเดิม รวมทั้งยังมีเสียงวิจารณ์ถึงเรื่องขนาดและรูปทรงของสนามกีฬาที่ดูแปลกตา
หลังจากได้มีการขอปรับแบบใหม่ส่วนหนึ่งและให้ใช้วัสดุที่มีราคาถูกลงให้อยู่ภายในวงเงินรวม 252,000 ล้านเยน ซึ่งกระนั้นก็ตาม ยังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ งบประมาณก่อสร้างที่บานปลายจากเดิมที่ประกาศไว้เกือบ 2 เท่า และแหล่งเงินงบประมาณโดย MEXT ได้ให้เหตุผลของการบานปลายของงบประมาณ ว่า เกิดจากการที่สนามกีฬาดังกล่าวมีโครงสร้างที่มีรูปโค้งขนาดใหญ่ การที่ค่าวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น และการปรับขึ้นของอัตราภาษีผู้บริโภค
แต่แล้วก็ได้มีการตกลงใจในการรับสมัครผู้ออกแบบ/ผู้รับเหมาก่อสร้างสำหรับแผนงานการสร้างสนามกีฬาแห่งชาติแห่งใหม่ที่จะใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียวในปี 2020 อีกครั้ง
แต่วงเงินที่ต้องใช้ในการก่อสร้างนั้นสูงถึง 252,000 ล้านเยน จึงได้มีการทบทวนและรวบรวมแผนงานการก่อสร้างใหม่ขึ้นมา
เมื่อ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา สมาคมกีฬาของญี่ปุ่นคือ JSC = Japan Sport Council ได้เผยแผนการสร้างสนามกีฬาโอลิมปิกแห่งใหม่ ในกรุงโตเกียวเป็น 2 แบบทางเว็บไซด์ที่จะคัดเลือกเอาแบบของผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวในเดือนนี้ เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างสนามแห่งใหม่ ที่มีคอนเซปต์ในการเข้าถึงผู้พิการและเด็กอีกด้วย ทั้งยังต้องการให้รองรับผู้ชมได้ถึง 80,000 คน
แล้วก็มีแผนการในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พ.ย.ปี 2019 โดยมูลค่าการก่อสร้างทั้ง 2 แบบอยู่ที่ประมาณ 150,000 ล้านเยน
โดยสนามกีฬาแบบ A มาในธีม “สนามกีฬาสีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นไม้” ซึ้งจะมีความสูงอยู่ที่ 50 เมตร เน้นพื้นที่สีเขียวรอบสนาม แล้วหลังคาก็ใช้เป็นต้นไม้ด้วย
ขณะที่แบบ B มาในธีม “จารีตประเพณีใหม่แห่งศตวรรษที่ 21” โดยมีความสูง 54.3 เมตร ที่จะใช้เสาไม้สูงขนาด 19 ซม. 72 ต้นและสร้างออกมาในรูปทรงคล้ายกับภาชนะสีขาว ซึ่งมาพร้อมศูนย์กีฬาใต้ดิน
แล้วทาง JSC ยังมีหมายกำหนดการที่จะตัดสินใจเลือกแผนการก่อสร้างแบบใดแบบหนึ่งภายในสิ้นเดือนธ.ค.ปีนี้ด้วย
หลังจากได้มีการขอปรับแบบใหม่ส่วนหนึ่งและให้ใช้วัสดุที่มีราคาถูกลงให้อยู่ภายในวงเงินรวม 252,000 ล้านเยน ซึ่งกระนั้นก็ตาม ยังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ งบประมาณก่อสร้างที่บานปลายจากเดิมที่ประกาศไว้เกือบ 2 เท่า และแหล่งเงินงบประมาณโดย MEXT ได้ให้เหตุผลของการบานปลายของงบประมาณ ว่า เกิดจากการที่สนามกีฬาดังกล่าวมีโครงสร้างที่มีรูปโค้งขนาดใหญ่ การที่ค่าวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น และการปรับขึ้นของอัตราภาษีผู้บริโภค
แต่แล้วก็ได้มีการตกลงใจในการรับสมัครผู้ออกแบบ/ผู้รับเหมาก่อสร้างสำหรับแผนงานการสร้างสนามกีฬาแห่งชาติแห่งใหม่ที่จะใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียวในปี 2020 อีกครั้ง
แต่วงเงินที่ต้องใช้ในการก่อสร้างนั้นสูงถึง 252,000 ล้านเยน จึงได้มีการทบทวนและรวบรวมแผนงานการก่อสร้างใหม่ขึ้นมา
เมื่อ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา สมาคมกีฬาของญี่ปุ่นคือ JSC = Japan Sport Council ได้เผยแผนการสร้างสนามกีฬาโอลิมปิกแห่งใหม่ ในกรุงโตเกียวเป็น 2 แบบทางเว็บไซด์ที่จะคัดเลือกเอาแบบของผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวในเดือนนี้ เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างสนามแห่งใหม่ ที่มีคอนเซปต์ในการเข้าถึงผู้พิการและเด็กอีกด้วย ทั้งยังต้องการให้รองรับผู้ชมได้ถึง 80,000 คน
แล้วก็มีแผนการในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พ.ย.ปี 2019 โดยมูลค่าการก่อสร้างทั้ง 2 แบบอยู่ที่ประมาณ 150,000 ล้านเยน
โดยสนามกีฬาแบบ A มาในธีม “สนามกีฬาสีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นไม้” ซึ้งจะมีความสูงอยู่ที่ 50 เมตร เน้นพื้นที่สีเขียวรอบสนาม แล้วหลังคาก็ใช้เป็นต้นไม้ด้วย
ขณะที่แบบ B มาในธีม “จารีตประเพณีใหม่แห่งศตวรรษที่ 21” โดยมีความสูง 54.3 เมตร ที่จะใช้เสาไม้สูงขนาด 19 ซม. 72 ต้นและสร้างออกมาในรูปทรงคล้ายกับภาชนะสีขาว ซึ่งมาพร้อมศูนย์กีฬาใต้ดิน
แล้วทาง JSC ยังมีหมายกำหนดการที่จะตัดสินใจเลือกแผนการก่อสร้างแบบใดแบบหนึ่งภายในสิ้นเดือนธ.ค.ปีนี้ด้วย
Posted by mod at
19:40
│Comments(0)
2015年12月15日
消費税を10%にするとき食品は8%のまま ญี่ปุ่นปรับภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10%
วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องปากท้องกันบ้างนะคะ เพราะว่าในชีวิตประจำวันของเราๆ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้วจากการจับจ่ายใช้สอยต่างๆ
ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น
ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “消費税” (しょうひぜい - Shoohizei) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า แวต เป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บเฉพาะจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิต การจำหน่ายหรือการให้บริการ โดยในแต่ละประเทศก็จะกำหนดไว้ต่างกัน อย่างในประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี
ส่วนประเทศญี่ปุ่นที่เรามักจะชอบไปเที่ยวกันบ่อยๆ นั้น ในตอนนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 8% แต่นับจากเดือนเม.ย.ปี 2017 เป็นต้นไป มีแผนการว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10%
แต่ทางรัฐบาลเองก็คิดว่าภาษีมูลค่าเพิ่มเกี่ยวกับสินค้าบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจะยังคงตรึงไว้ให้ต่ำ
สินค้าบริโภคคือ “食品”(しょくひんーshokuhin)
ดังนั้น พรรครัฐบาลจึงได้มีการปรึกษาหารือกัน แล้วคิดว่าตอนที่มีการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 10% นั้น “อาหารสด” และ “อาหารแปรรูป” จะยังคงยืนอยู่ที่ 8% เช่นเดิม ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มของ “สุรา” และ “การกินอาหารนอกบ้าน” จะเพิ่มขึ้นเป็น 10%
อาหารสดคือ “生鮮食品” (せいせんしょくひんーseisenshokuhin)
อาหารแปรรูปคือ “加工食品” (かこうしょくひんーkakoushokuhin)
การกินอาหารนอกบ้านคือ “外食” (がいしょくーgaishoku)
แต่ในการตรึงภาษีมูลค่าเพิ่มเกี่ยวกับ “อาหารสด” และ “อาหารแปรรูป” ให้คงอยู่ที่ 8% เช่นเดิมนั้นจะต้องใช้เงินถึง 1 ล้านล้านเยนกันเลยทีเดียว ส่วนวิธีการในการเตรียมเงินก้อนนี้อย่างไรนั้นจะมีการคิดและตกลงกันภายในเดือนมี.ค.ปี 2017 ถึงอย่างไรก็คิดว่าไม่น่าจะกระทบกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแต่อย่างใด
ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น
ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “消費税” (しょうひぜい - Shoohizei) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า แวต เป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บเฉพาะจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิต การจำหน่ายหรือการให้บริการ โดยในแต่ละประเทศก็จะกำหนดไว้ต่างกัน อย่างในประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี
ส่วนประเทศญี่ปุ่นที่เรามักจะชอบไปเที่ยวกันบ่อยๆ นั้น ในตอนนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 8% แต่นับจากเดือนเม.ย.ปี 2017 เป็นต้นไป มีแผนการว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10%
แต่ทางรัฐบาลเองก็คิดว่าภาษีมูลค่าเพิ่มเกี่ยวกับสินค้าบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจะยังคงตรึงไว้ให้ต่ำ
สินค้าบริโภคคือ “食品”(しょくひんーshokuhin)
ดังนั้น พรรครัฐบาลจึงได้มีการปรึกษาหารือกัน แล้วคิดว่าตอนที่มีการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 10% นั้น “อาหารสด” และ “อาหารแปรรูป” จะยังคงยืนอยู่ที่ 8% เช่นเดิม ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มของ “สุรา” และ “การกินอาหารนอกบ้าน” จะเพิ่มขึ้นเป็น 10%
อาหารสดคือ “生鮮食品” (せいせんしょくひんーseisenshokuhin)
อาหารแปรรูปคือ “加工食品” (かこうしょくひんーkakoushokuhin)
การกินอาหารนอกบ้านคือ “外食” (がいしょくーgaishoku)
แต่ในการตรึงภาษีมูลค่าเพิ่มเกี่ยวกับ “อาหารสด” และ “อาหารแปรรูป” ให้คงอยู่ที่ 8% เช่นเดิมนั้นจะต้องใช้เงินถึง 1 ล้านล้านเยนกันเลยทีเดียว ส่วนวิธีการในการเตรียมเงินก้อนนี้อย่างไรนั้นจะมีการคิดและตกลงกันภายในเดือนมี.ค.ปี 2017 ถึงอย่างไรก็คิดว่าไม่น่าจะกระทบกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแต่อย่างใด
Posted by mod at
16:03
│Comments(0)
2015年12月14日
国王の姫路城8か月で222万人が見に来た ชมปราสาทฮิเมะจิ 1 ใน 3 ปราสาทสวยที่สุดในญี่ปุ่น
วันจันทร์แบบนี้ ทุกคนคงได้พักผ่อนเต็มที่กับเสาร์อาทิตย์มาแล้ว เดินหน้าทำงานกันเต็มพลังเลยนะคะ
แต่ขอแอบพาเที่ยวปราสาท 1 ใน 3 ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นกันหน่อยนะคะ
ปราสาทฮิเมะจิเป็นปราสาทญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมบัติประจำชาติเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2536 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ ปราสาทมะสึโมะโตะ และปราสาทคุมะโมะโตะ และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า "ปราสาทนกกระสาขาว" หรือ ฮะคุระโจะ ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง
ในปัจจุบันปราสาทฮิเมะจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นและมรดกโลกและได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก โดยตั้งอยู่ในเมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538
แต่เนื่องจากมีการปิดซ่อมแซมหลังคา จึงทำให้ไม่สามารถเข้าชมปราสาทได้เป็นนานถึง 5 ปี
แล้วตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีนี้ ก็สามารถกลับมาเข้าชมได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากหลั่งไหลมาชมปราสาทฮิเมะจิอย่างเนืองแน่นทุกวัน
จากข้อมูลของเมืองฮิเมะจิได้กล่าวว่า มีคนที่มาชมปราสาทฮิเมะจิในรอบปี 2015 ถึงประมาณ 2,220,000 คนในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
ที่ผ่านมา ปราสาทที่คนมาเที่ยวชมมากที่สุดใน 1 ปีตั้งแต่เดือนเม.ย.คือปราสาทคุมาโมโตะ ในจังหวัดคุมาโมโตะ โดยมีคนมาในรอบปี 2008 ถึง 2,219,000 คน
แต่ในปีนี้ ปราสาทฮิเมะจินั้นมีคนมาเยี่ยมชมมากกว่าปราสาทคุมาโมโตะในช่วงระยะเวลา 8 เดือนนับตั้งแต่เดือน เม.ย.ถึงวันที่ 9 ธ.ค.นี้
เมืองฮิเมะจิได้ประดับประดาม่านผืนใหญ่ที่เขียนมีคนมาเยี่ยมชมปราสาทมากถึง 2,220,000 คนที่ประตูของปราสาทในวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา
นายอิชิคาว่า ฮิโรกิซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานปกครองดูแลปราสาทฮิเมะจิได้กล่าวว่า “อยากจะให้มีคนเข้ามาชมปราสาทให้ได้ถึง 2,500,000 คนภายในเดือนมี.ค. ของปีหน้าให้ได้”
นอกจากความงามของปราสาทแล้ว ยังมีตำนานเล่าขานสุดสยองด้วย
นั่นก็คือ บ่อน้ำที่สิงสถิตย์ของวิญญาณโอะกิคุ
ปราสาทฮิเมะจิ ยังเป็นสถานที่ ๆ เป็นที่รู้จักกันดีในตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับผีที่ขึ้นชื่อ เรื่อง "ผีนับจาน" หรือ ซะระยะชิกิ คือ เรื่องราวของโอะกิคุ สาวใช้ของซามูไรผู้หนึ่งที่ทำจานล้ำค่าของตระกูลซามูไรแตก จึงถูกลงโทษด้วยการโยนร่างลงในบ่อน้ำ โดยในเวลาค่ำคืนจะมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงโหยหวนดังมาจากบ่อน้ำเป็นเสียงนับจานช้า ๆ จนครบเก้าใบ ซึ่งบ่อน้ำนี้ยังปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามตำนานนี้ยังมีการเล่าขานในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปด้วย ทั้งยังได้รับการดัดแปลงเป็นบทละครคาบูกิอีกด้วย
เริ่มจากตำนานที่นำไปดัดแปลงเป็นละครคาบูกิก่อน เล่าว่า โอคิคุ เป็นสาวใช้ของซามูไรนามว่า อาโอยามา เทสซัน เขาตกหลุมรักเธอจึงได้วางแผนหลอกนำชุดด้วยการนำชุดเรื่องจานราคาแพงจากดัตช์มามอบให้เป็นหน้าที่ของโอคิคุคอยดูแล วันหนึ่งเขาจึงนำจานหนึ่งใบไปซ่อน แล้วสั่งสาวใช้ให้นำชามทั้ง 10 ใบมาให้ เมื่อโอคิคุไม่สามารถหาได้ครบ เธอจึงหวาดกลัวว่าจะถูกลงโทษ เทสซันจึงยื่นข้อเสนอจะยกโทษให้หากเธอยอมเป็นภรรยาน้อยของเขา โอคิคุไม่ยอม และเลือกที่จะรักษาเกียรติของตนด้วยการกระโดดลงบ่อน้ำ จบชีวิตของตนลงในที่สุด
บางตำนานก็เล่าว่า เป็นเทสซันเองที่โมโหจัดจนฆ่าเธอเองกับมือ แล้วโยนศพทิ้งลงบ่อน้ำ แต่เรื่องก็ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะถึงตอนกลางดึก ณ บ่อน้ำในปราสาทนั้นเอง จะปรากฏร่างสีขาวซีดของโออิคุอยู่ข้างบ่อน้ำนั้น แล้วเริ่มออกเสียงนับจานอย่างช้าๆ กระทั่งนับถึงใบที่ 9 เธอจะเริ่มร้องไห้ ส่งเสียงโหยหวนจนชวนขนลุก เป็นเช่นนี้อยู่ทุกค่ำคืนจนกระทั่งอาโอยามา เทสซันเสียสติ เป็นบ้าไปในที่สุด
อีกตำนานเล่าว่า ตระกูลอาโอยาม่าวางแผนจะโค่นล้มอำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุที่ทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ โดยใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ
มีอีกหนึ่งตำนานเล่าว่า เป็นภรรยาของอาโอยามาเองที่ทำจานแตกไปหนึ่งใบ ด้วยกลัวความผิดจึงโยนจานที่แตกนั้นลงบ่อน้ำ แล้วกล่าวหาว่าโอคิคุเป็นผู้ขโมยไป แต่ไม่ว่าเรื่องเล่าจะเป็นเช่นไร บทสรุปของเรื่องราวล้วนจบลงด้วยความตายของนางโอคิคุทั้งสิ้น
บ่อน้ำของโอคิคุที่ปราสาทฮิเมจิ แต่ก็มีที่อ้างถึงอีกแห่ง คือบ่อน้ำของสวนในสถานทูตประเทศแคนาดาที่กรุงโตเกียว ซึ่งเดิมทีเป็นที่ดินของตระกูลอาโอยาม่า
แต่ขอแอบพาเที่ยวปราสาท 1 ใน 3 ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นกันหน่อยนะคะ
ปราสาทฮิเมะจิเป็นปราสาทญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมบัติประจำชาติเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2536 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ ปราสาทมะสึโมะโตะ และปราสาทคุมะโมะโตะ และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า "ปราสาทนกกระสาขาว" หรือ ฮะคุระโจะ ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง
ในปัจจุบันปราสาทฮิเมะจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นและมรดกโลกและได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก โดยตั้งอยู่ในเมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538
แต่เนื่องจากมีการปิดซ่อมแซมหลังคา จึงทำให้ไม่สามารถเข้าชมปราสาทได้เป็นนานถึง 5 ปี
แล้วตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีนี้ ก็สามารถกลับมาเข้าชมได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากหลั่งไหลมาชมปราสาทฮิเมะจิอย่างเนืองแน่นทุกวัน
จากข้อมูลของเมืองฮิเมะจิได้กล่าวว่า มีคนที่มาชมปราสาทฮิเมะจิในรอบปี 2015 ถึงประมาณ 2,220,000 คนในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
ที่ผ่านมา ปราสาทที่คนมาเที่ยวชมมากที่สุดใน 1 ปีตั้งแต่เดือนเม.ย.คือปราสาทคุมาโมโตะ ในจังหวัดคุมาโมโตะ โดยมีคนมาในรอบปี 2008 ถึง 2,219,000 คน
แต่ในปีนี้ ปราสาทฮิเมะจินั้นมีคนมาเยี่ยมชมมากกว่าปราสาทคุมาโมโตะในช่วงระยะเวลา 8 เดือนนับตั้งแต่เดือน เม.ย.ถึงวันที่ 9 ธ.ค.นี้
เมืองฮิเมะจิได้ประดับประดาม่านผืนใหญ่ที่เขียนมีคนมาเยี่ยมชมปราสาทมากถึง 2,220,000 คนที่ประตูของปราสาทในวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา
นายอิชิคาว่า ฮิโรกิซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานปกครองดูแลปราสาทฮิเมะจิได้กล่าวว่า “อยากจะให้มีคนเข้ามาชมปราสาทให้ได้ถึง 2,500,000 คนภายในเดือนมี.ค. ของปีหน้าให้ได้”
นอกจากความงามของปราสาทแล้ว ยังมีตำนานเล่าขานสุดสยองด้วย
นั่นก็คือ บ่อน้ำที่สิงสถิตย์ของวิญญาณโอะกิคุ
ปราสาทฮิเมะจิ ยังเป็นสถานที่ ๆ เป็นที่รู้จักกันดีในตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับผีที่ขึ้นชื่อ เรื่อง "ผีนับจาน" หรือ ซะระยะชิกิ คือ เรื่องราวของโอะกิคุ สาวใช้ของซามูไรผู้หนึ่งที่ทำจานล้ำค่าของตระกูลซามูไรแตก จึงถูกลงโทษด้วยการโยนร่างลงในบ่อน้ำ โดยในเวลาค่ำคืนจะมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงโหยหวนดังมาจากบ่อน้ำเป็นเสียงนับจานช้า ๆ จนครบเก้าใบ ซึ่งบ่อน้ำนี้ยังปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามตำนานนี้ยังมีการเล่าขานในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปด้วย ทั้งยังได้รับการดัดแปลงเป็นบทละครคาบูกิอีกด้วย
เริ่มจากตำนานที่นำไปดัดแปลงเป็นละครคาบูกิก่อน เล่าว่า โอคิคุ เป็นสาวใช้ของซามูไรนามว่า อาโอยามา เทสซัน เขาตกหลุมรักเธอจึงได้วางแผนหลอกนำชุดด้วยการนำชุดเรื่องจานราคาแพงจากดัตช์มามอบให้เป็นหน้าที่ของโอคิคุคอยดูแล วันหนึ่งเขาจึงนำจานหนึ่งใบไปซ่อน แล้วสั่งสาวใช้ให้นำชามทั้ง 10 ใบมาให้ เมื่อโอคิคุไม่สามารถหาได้ครบ เธอจึงหวาดกลัวว่าจะถูกลงโทษ เทสซันจึงยื่นข้อเสนอจะยกโทษให้หากเธอยอมเป็นภรรยาน้อยของเขา โอคิคุไม่ยอม และเลือกที่จะรักษาเกียรติของตนด้วยการกระโดดลงบ่อน้ำ จบชีวิตของตนลงในที่สุด
บางตำนานก็เล่าว่า เป็นเทสซันเองที่โมโหจัดจนฆ่าเธอเองกับมือ แล้วโยนศพทิ้งลงบ่อน้ำ แต่เรื่องก็ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะถึงตอนกลางดึก ณ บ่อน้ำในปราสาทนั้นเอง จะปรากฏร่างสีขาวซีดของโออิคุอยู่ข้างบ่อน้ำนั้น แล้วเริ่มออกเสียงนับจานอย่างช้าๆ กระทั่งนับถึงใบที่ 9 เธอจะเริ่มร้องไห้ ส่งเสียงโหยหวนจนชวนขนลุก เป็นเช่นนี้อยู่ทุกค่ำคืนจนกระทั่งอาโอยามา เทสซันเสียสติ เป็นบ้าไปในที่สุด
อีกตำนานเล่าว่า ตระกูลอาโอยาม่าวางแผนจะโค่นล้มอำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุที่ทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ โดยใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ
มีอีกหนึ่งตำนานเล่าว่า เป็นภรรยาของอาโอยามาเองที่ทำจานแตกไปหนึ่งใบ ด้วยกลัวความผิดจึงโยนจานที่แตกนั้นลงบ่อน้ำ แล้วกล่าวหาว่าโอคิคุเป็นผู้ขโมยไป แต่ไม่ว่าเรื่องเล่าจะเป็นเช่นไร บทสรุปของเรื่องราวล้วนจบลงด้วยความตายของนางโอคิคุทั้งสิ้น
บ่อน้ำของโอคิคุที่ปราสาทฮิเมจิ แต่ก็มีที่อ้างถึงอีกแห่ง คือบ่อน้ำของสวนในสถานทูตประเทศแคนาดาที่กรุงโตเกียว ซึ่งเดิมทีเป็นที่ดินของตระกูลอาโอยาม่า
Posted by mod at
16:52
│Comments(0)
2015年12月11日
双子のパンダが元気で1歳になりました ฉลองครบรอบ 1 ขวบให้กับแพนด้าแฝด
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ
วันนี้เราจะไปกันที่สวนสัตว์วากายามะ แอดเวนเชอร์เวิร์ลด์ ในเมืองชาราฮามะ ของจังหวัดวากายามะ ทางตะวันตกของญี่ปุ่นกันนะคะ จะพาไปฉลองวันเกิดย้อนหลังให้กับลูกแพนด้าฝาแฝดที่ลืมตาดูโลกเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ทำให้จำนวนสมาชิกแพนด้าในสวนสัตว์เพิ่มเป็น 7 ตัวตามโครงการขยายพันธุ์แพนด้าซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำ
ตอนที่แพนด้าแฝดน้อยเพศเมีย เกิดมามีน้ำหนักตัวละเกือบ 200 กรัม ขนาดตัวเพียง 21-22 เซนติเมตร (ประมาณ 8 นิ้ว) ค่ะ แพนด้าคู่นี้เกิดจากแม่แพนด้ายักษ์ชื่อ โรฮิน อายุ 9 ปี ถือเป็นลูกแพนด้าฝาแฝดคู่ที่ 2 ที่เกิดในญี่ปุ่น
สวนสัตว์วากายามะ เป็นหนึ่งในศูนย์ผสมพันธุ์แพนด้ายักษ์ที่มีผลิตผลมากที่สุดของญี่ปุ่น แพนด้าแฝดคู่นี้เกิดจากการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติไม่ใช่เกิดจากการผสมเทียมอีกด้วย พ่อของแพนด้าแฝดเป็นแพนด้ายักษ์เกิดในจีนอายุ 18 ปี ชื่อ เอเม่ย
แพนด้าแฝดคู่นี้มีชื่อน่ารักๆ ว่า ตัวพี่ชื่อ "โอฮิน" (桜浜) ตัวน้องชื่อ "โทฮิน"(桃浜)
แต่ปีนี้แพนด้าแฝดน้อยอายุครบ 1 ขวบแล้ว สวนสัตว์ได้จัดงานฉลองวันเกิดให้ “โอฮิน” กับ “โทฮิน” เป็นเวลา 3 วัน พอ “โอฮิน” กับ “โทฮิน” ปรากฏตัวออกมา ผู้ที่มาเที่ยวสวนสัตว์ราวๆ 500 คนก็ส่งเสียงตะโกนอวยพรด้วยความดีใจ สวนสัตว์ได้มอบเค้กน้ำแข็งเป็นรูปเลข “1” ให้เป็นของขวัญในวันเกิดอายุ 1 ปี แพนด้าแฝดต่างเลียขนมเค้กด้วยท่าทางสนุกสนาน เบิกบานใจ นอกจากนั้น สวนสัตว์ยังได้มอบเครื่องเล่นชิ้นใหม่ที่ให้แพนด้าสามารถปีนขึ้นไปเล่นได้ให้ด้วย
ในตอนนี้ “โอฮิน” มีน้ำหนัก 30.0 กิโลกรัม ส่วน “โทฮิน” มีน้ำหนักตัว 29.6 กิโลกรัม แล้วก็แข็งแรงมากด้วยค่ะ
ใครไปเที่ยวแถวๆ จังหวัดวากายามะ ก็อย่าลืมไปเยี่ยมแพนด้าแฝดกันด้วยนะคะ
วันนี้เราจะไปกันที่สวนสัตว์วากายามะ แอดเวนเชอร์เวิร์ลด์ ในเมืองชาราฮามะ ของจังหวัดวากายามะ ทางตะวันตกของญี่ปุ่นกันนะคะ จะพาไปฉลองวันเกิดย้อนหลังให้กับลูกแพนด้าฝาแฝดที่ลืมตาดูโลกเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ทำให้จำนวนสมาชิกแพนด้าในสวนสัตว์เพิ่มเป็น 7 ตัวตามโครงการขยายพันธุ์แพนด้าซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำ
ตอนที่แพนด้าแฝดน้อยเพศเมีย เกิดมามีน้ำหนักตัวละเกือบ 200 กรัม ขนาดตัวเพียง 21-22 เซนติเมตร (ประมาณ 8 นิ้ว) ค่ะ แพนด้าคู่นี้เกิดจากแม่แพนด้ายักษ์ชื่อ โรฮิน อายุ 9 ปี ถือเป็นลูกแพนด้าฝาแฝดคู่ที่ 2 ที่เกิดในญี่ปุ่น
สวนสัตว์วากายามะ เป็นหนึ่งในศูนย์ผสมพันธุ์แพนด้ายักษ์ที่มีผลิตผลมากที่สุดของญี่ปุ่น แพนด้าแฝดคู่นี้เกิดจากการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติไม่ใช่เกิดจากการผสมเทียมอีกด้วย พ่อของแพนด้าแฝดเป็นแพนด้ายักษ์เกิดในจีนอายุ 18 ปี ชื่อ เอเม่ย
แพนด้าแฝดคู่นี้มีชื่อน่ารักๆ ว่า ตัวพี่ชื่อ "โอฮิน" (桜浜) ตัวน้องชื่อ "โทฮิน"(桃浜)
แต่ปีนี้แพนด้าแฝดน้อยอายุครบ 1 ขวบแล้ว สวนสัตว์ได้จัดงานฉลองวันเกิดให้ “โอฮิน” กับ “โทฮิน” เป็นเวลา 3 วัน พอ “โอฮิน” กับ “โทฮิน” ปรากฏตัวออกมา ผู้ที่มาเที่ยวสวนสัตว์ราวๆ 500 คนก็ส่งเสียงตะโกนอวยพรด้วยความดีใจ สวนสัตว์ได้มอบเค้กน้ำแข็งเป็นรูปเลข “1” ให้เป็นของขวัญในวันเกิดอายุ 1 ปี แพนด้าแฝดต่างเลียขนมเค้กด้วยท่าทางสนุกสนาน เบิกบานใจ นอกจากนั้น สวนสัตว์ยังได้มอบเครื่องเล่นชิ้นใหม่ที่ให้แพนด้าสามารถปีนขึ้นไปเล่นได้ให้ด้วย
ในตอนนี้ “โอฮิน” มีน้ำหนัก 30.0 กิโลกรัม ส่วน “โทฮิน” มีน้ำหนักตัว 29.6 กิโลกรัม แล้วก็แข็งแรงมากด้วยค่ะ
ใครไปเที่ยวแถวๆ จังหวัดวากายามะ ก็อย่าลืมไปเยี่ยมแพนด้าแฝดกันด้วยนะคะ
Posted by mod at
15:46
│Comments(0)
2015年12月09日
ことし人気になった食べ物は「おにぎらず」 อาหารที่กลายเป็นที่นิยมของปีนี้คือ “Onigirazu”
สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องของกินบ้าง เพื่อนๆ รู้จัก おにぎり (Onigiri ข้าวปั้น) มัยคะ คิดว่าต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน เพราะสมัยนี้หากินได้ง่ายมาก ในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 หรือ Lawson ก็มีขายกันนะคะ แต่ถ้าเอ่ยชื่อ おにぎらず (Onigirazu) ยังรู้จักกันอยู่มัยเอ่ย
สำหรับฉันตอนแรกก็ไม่รู้ค่ะ แต่จะเรียกว่าเป็นพี่น้องของ おにぎり ก็ว่าได้ เพราะว่า おにぎらず จะใช้วัตถุดิบเดียวกับ Onigiri อย่างเช่นผัก, เนื้อสัตว์หรือปลาที่ย่างแล้วกับข้าวและสาหร่ายมาทำ คือเราก็จะวางอย่างเช่นปลาและข้าวลงบนสาหร่ายแล้วม้วนค่ะ แต่ส่วนที่ต่างจาก おにぎり คือสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะว่าไม่ต้องปั้นนั่นเอง ดังนั้นก็เลยได้มาเป็นชื่อของอาหารชนิดนี้
คำว่า にぎらず มีความหมายเท่ากับ にぎらないで คือไม่ต้องปั้นนั่นเอง
แต่จะว่าไปอาหารชนิดนี้ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นนะคะ "おにぎらず" นั่นได้เคยปรากฏอยู่ในหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Cooking Papa” หรือในชื่อไทยว่า "คุณพ่อยอดกุ๊ก" (มีการทำเป็นหนังการ์ตูนฉายทางช่อง ibc) กับ "พ่อครัวหัวป่าก์" (ฉายช่อง 3) เมื่อ 25 ปีก่อน
การ์ตูนเรื่องนี้เขียนโดย Tochi Ueyama ลงในหนังสือ Morning ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปัจจุบัน เป็นการ์ตูนสอนทำอาหาร เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคุณพ่อที่เป็นพนักงานบริษัทแต่กลับมีฝีมือในการทำอาหารชั้นยอด เคยทำเป็นอนิเมะฉายทาง TV ในช่วงปี 1992 - 1995 ด้วย แล้วก็ถือว่าเป็นการ์ตูนเรื่องยาวที่ติดอันดับ Top 10 ด้วยนะคะ โดยรั้งตำแหน่งอยู่ที่อันดับ 4 ด้วยจำนวน 104 เล่ม
สำหรับเมนู "おにぎらず" ปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มที่ 22
แต่จากการสำรวจของบริษัทในกรุงโตเกียวที่สำรวจเกี่ยวกับอาหารได้ออกมาเปิดเผยว่า "おにぎらず" เป็นอาหารยอดนิยมแห่งปีนี้เลย แล้วที่กลายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมสูงมากขึ้นตั้งแต่เข้าปี 2015 นั่นก็เพราะว่าได้รับการแนะนำจากเหล่าเว็บไซต์แนะนำอาหารต่างๆ มากมาย
นอกจากนั้นก็ยังทำให้หนังสือที่สอนวิธีการทำและสาหร่ายที่ใช้ทำ "おにぎらず"ขายดิบขายดีไปด้วย
ที่นี้เราลองมาดูวิธีการทำ "おにぎらず" กันนะคะ เผื่อใครจะลองนำไปทำทานกัน
ก่อนอื่นก็คงต้องมีทักษะพื้นฐานในการทำ おにぎり มาบ้าง
1.ตักข้าววางลงบนสาหร่ายและเกลี่ยข้าวให้กระจายทั่ว ใส่ใส้ที่ต้องการ
2.ห่อสาหร่ายให้เป็นรูปสีเหลี่ยมเท่านี้ก็เสร็จแล้วค่ะ ง่ายมัยคะ ไม่ต้องปั้นเลย
สรุปรวมขั้นตอนการทำง่ายๆ
สำหรับฉันตอนแรกก็ไม่รู้ค่ะ แต่จะเรียกว่าเป็นพี่น้องของ おにぎり ก็ว่าได้ เพราะว่า おにぎらず จะใช้วัตถุดิบเดียวกับ Onigiri อย่างเช่นผัก, เนื้อสัตว์หรือปลาที่ย่างแล้วกับข้าวและสาหร่ายมาทำ คือเราก็จะวางอย่างเช่นปลาและข้าวลงบนสาหร่ายแล้วม้วนค่ะ แต่ส่วนที่ต่างจาก おにぎり คือสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะว่าไม่ต้องปั้นนั่นเอง ดังนั้นก็เลยได้มาเป็นชื่อของอาหารชนิดนี้
คำว่า にぎらず มีความหมายเท่ากับ にぎらないで คือไม่ต้องปั้นนั่นเอง
แต่จะว่าไปอาหารชนิดนี้ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นนะคะ "おにぎらず" นั่นได้เคยปรากฏอยู่ในหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Cooking Papa” หรือในชื่อไทยว่า "คุณพ่อยอดกุ๊ก" (มีการทำเป็นหนังการ์ตูนฉายทางช่อง ibc) กับ "พ่อครัวหัวป่าก์" (ฉายช่อง 3) เมื่อ 25 ปีก่อน
การ์ตูนเรื่องนี้เขียนโดย Tochi Ueyama ลงในหนังสือ Morning ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปัจจุบัน เป็นการ์ตูนสอนทำอาหาร เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคุณพ่อที่เป็นพนักงานบริษัทแต่กลับมีฝีมือในการทำอาหารชั้นยอด เคยทำเป็นอนิเมะฉายทาง TV ในช่วงปี 1992 - 1995 ด้วย แล้วก็ถือว่าเป็นการ์ตูนเรื่องยาวที่ติดอันดับ Top 10 ด้วยนะคะ โดยรั้งตำแหน่งอยู่ที่อันดับ 4 ด้วยจำนวน 104 เล่ม
สำหรับเมนู "おにぎらず" ปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มที่ 22
แต่จากการสำรวจของบริษัทในกรุงโตเกียวที่สำรวจเกี่ยวกับอาหารได้ออกมาเปิดเผยว่า "おにぎらず" เป็นอาหารยอดนิยมแห่งปีนี้เลย แล้วที่กลายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมสูงมากขึ้นตั้งแต่เข้าปี 2015 นั่นก็เพราะว่าได้รับการแนะนำจากเหล่าเว็บไซต์แนะนำอาหารต่างๆ มากมาย
นอกจากนั้นก็ยังทำให้หนังสือที่สอนวิธีการทำและสาหร่ายที่ใช้ทำ "おにぎらず"ขายดิบขายดีไปด้วย
ที่นี้เราลองมาดูวิธีการทำ "おにぎらず" กันนะคะ เผื่อใครจะลองนำไปทำทานกัน
ก่อนอื่นก็คงต้องมีทักษะพื้นฐานในการทำ おにぎり มาบ้าง
1.ตักข้าววางลงบนสาหร่ายและเกลี่ยข้าวให้กระจายทั่ว ใส่ใส้ที่ต้องการ
2.ห่อสาหร่ายให้เป็นรูปสีเหลี่ยมเท่านี้ก็เสร็จแล้วค่ะ ง่ายมัยคะ ไม่ต้องปั้นเลย
สรุปรวมขั้นตอนการทำง่ายๆ
Posted by mod at
15:49
│Comments(0)
2015年12月08日
オリンピックのマーク 14599のデザインが集まる เกาะติดการตัดสินตราสัญญลักษณ์กีฬาโอลิมปิก ปี 2020
เรามาติดตามความคืบหน้าของตราสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 กันนะคะ
อย่างที่เราได้ทราบๆ กันว่าญี่ปุ่นประกาศยกเลิกการใช้ตราสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่จะจัดขึ้นในกรุงโตเกียวแล้ว หลังมีกระแสข่าวว่าผู้ออกแบบได้ลอกเลียนผลงานดังกล่าวจากอินเทอร์เน็ต
ดังนั้น คณะกรรมการโอลิมปิกของญี่ปุ่นได้ออกมาระบุว่า สาเหตุที่ยกเลิกโลโก้มหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่เคยได้ตัดสินคัดเลือกไปเมื่อเดือน ก.ค. ปีนี้ไปแล้ว 1 ครั้ง แต่เนื่องจากมีข้อกังขามากมายเกี่ยวกับผลงานการออกแบบชิ้นนี้ และคาดว่าตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ดังนั้นจึงตัดสินใจให้มีการออกแบบตราสัญลักษณ์กีฬาโอลิมปิก และกีฬาพาราลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวจะเป็นเจ้าภาพขึ้นมาใหม่
ภาพประกอบ : ภาพเปรียบเทียบระหว่างตราสัญลักษณ์โอลิมปิก 2020 ที่ถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนมา กับผลงานต้นฉบับของนักออกแบบชาวเบลเยี่ยม
โดยได้มีการเปิดรับการออกแบบใหม่มาตั้งแต่วันที่ 24 เดือนพ.ย.จนถึงวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา
เพราะว่าในตอนที่คัดเลือกการออกแบบครั้งแรกนั้นมีเงื่อนไขที่เข้มงวด จึงมีการออกแบบที่ส่งเข้ามาร่วมประกวดแค่ 104 ชิ้นเท่านั้น
แต่ในครั้งได้เปิดโอกาสให้คนต่างชาติ หรือกรณีส่งเข้าประวดเป็นกลุ่มได้ด้วย จึงทำให้เด็กๆ สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ด้วย จึงสามารถรวบรวมการออกแบบได้ถึง 14,599 ชิ้นทีเดียว
ในคราวนี้จะมีการคัดเลือกให้เหลือ 100-200 ชิ้นภายในสิ้นปีนี้ แล้วจะคัดเลือกจากบรรดาการออกแบบนั้นให้เหลือ 3-4 ชิ้นในการประชุมในเดือน ม.ค.ปีหน้า
แล้วก็ มีกำหนดการที่จะตัดสินเครื่องหมายใหม่ในราวๆ ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าค่ะ
ติดตามตอนต่อไปนะคะ
อย่างที่เราได้ทราบๆ กันว่าญี่ปุ่นประกาศยกเลิกการใช้ตราสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่จะจัดขึ้นในกรุงโตเกียวแล้ว หลังมีกระแสข่าวว่าผู้ออกแบบได้ลอกเลียนผลงานดังกล่าวจากอินเทอร์เน็ต
ดังนั้น คณะกรรมการโอลิมปิกของญี่ปุ่นได้ออกมาระบุว่า สาเหตุที่ยกเลิกโลโก้มหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่เคยได้ตัดสินคัดเลือกไปเมื่อเดือน ก.ค. ปีนี้ไปแล้ว 1 ครั้ง แต่เนื่องจากมีข้อกังขามากมายเกี่ยวกับผลงานการออกแบบชิ้นนี้ และคาดว่าตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ดังนั้นจึงตัดสินใจให้มีการออกแบบตราสัญลักษณ์กีฬาโอลิมปิก และกีฬาพาราลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวจะเป็นเจ้าภาพขึ้นมาใหม่
ภาพประกอบ : ภาพเปรียบเทียบระหว่างตราสัญลักษณ์โอลิมปิก 2020 ที่ถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนมา กับผลงานต้นฉบับของนักออกแบบชาวเบลเยี่ยม
โดยได้มีการเปิดรับการออกแบบใหม่มาตั้งแต่วันที่ 24 เดือนพ.ย.จนถึงวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา
เพราะว่าในตอนที่คัดเลือกการออกแบบครั้งแรกนั้นมีเงื่อนไขที่เข้มงวด จึงมีการออกแบบที่ส่งเข้ามาร่วมประกวดแค่ 104 ชิ้นเท่านั้น
แต่ในครั้งได้เปิดโอกาสให้คนต่างชาติ หรือกรณีส่งเข้าประวดเป็นกลุ่มได้ด้วย จึงทำให้เด็กๆ สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ด้วย จึงสามารถรวบรวมการออกแบบได้ถึง 14,599 ชิ้นทีเดียว
ในคราวนี้จะมีการคัดเลือกให้เหลือ 100-200 ชิ้นภายในสิ้นปีนี้ แล้วจะคัดเลือกจากบรรดาการออกแบบนั้นให้เหลือ 3-4 ชิ้นในการประชุมในเดือน ม.ค.ปีหน้า
แล้วก็ มีกำหนดการที่จะตัดสินเครื่องหมายใหม่ในราวๆ ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าค่ะ
ติดตามตอนต่อไปนะคะ
Posted by mod at
16:59
│Comments(0)
2015年12月07日
石鹸の泡で洗うことができるスマートフォン สมาร์ทโฟนที่สามารถใช้น้ำสบู่ล้างทำความสะอาดได้
เพื่อนๆ เคยทำโทรศัพท์มือถือตกลงไปในจานอาหารหรือเปื้อนหนักๆ จนอยากจะนำโทรศัพท์ไปล้างทำความสะอาดบ้างมัยคะ สำหรับฉันอยากมากเลยค่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ ตอนนี้ญี่ปุ่นได้คิดค้นสมาร์ทโฟนที่สามารถล้างได้แล้วค่ะ
ในขณะนี้บริษัทที่ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของญี่ปุ่น KDDI ได้ร่วมมือกันกับผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ Kyocera ผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นกันน้ำได้ เรียกว่า Digno Rafre นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่สามารถทำความสะอาดได้ด้วยน้ำสบู่ แถมถ้าคุณเป็นคนชอบนอนแช่อาบน้ำอุ่นแล้วล่ะก็ ไม่ต้องกังวลใจเลย เพราะ Digno Rafre ออกแบบมาให้ทนทานต่อน้ำร้อนที่อุณหภูมิสูงถึง 43 องศา แล้วทาง KDDI ยังการันตีด้วยว่า โทรศัพท์รุ่นนี้กันน้ำได้ดีเยี่ยม ถึงขนาดที่สามารถนำสบู่มาฟอกทำความสะอาดตัวเครื่องได้เลย เพราะกลุ่มนักพัฒนาได้ทำลองนำโทรศัพท์รุ่นนี้มาทำความสะอาดด้วยสบู่มากถึง 700 ครั้ง ในขั้นทดลอง ทั้งนี้เพื่อทำให้สมาร์ทโฟนไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ติดกับผู้ใช้มากที่สุด
โดยเฉพาะกับเด็กที่ชอบหยิบโทรศัพท์พ่อ-แม่มาเล่น หรือชอบนำโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในปาก ก็สามารถสบายใจได้ว่าจะปลอดภัยสำหรับลูกน้อย
หรือแม้แต่ในขณะที่ทำครัวหรือประกอบอาหารอยู่ก็สามารถสัมผัสหน้าจอได้ทั้งมือที่เปียกๆ
จากข้อมูลของบริษัท KDDI นั้นฟองของสบู่จะเข้าไปด้านในของสมาร์ทโฟนได้ง่ายกว่าน้ำ ดังนั้น ทางบริษัท KDDI จึงเปลี่ยนบริเวณฝาครอบ (=กรอบ) หรือบริเวณที่เสียบอย่างเช่นหูฟังใหม่ เพื่อทำให้ฟองเข้าไปด้านในได้ยากขึ้น
คุณยามาดะ อากิระที่ทำงานอยู่ที่บริษัท KDDI ที่คิดค้นสมาร์ทโฟนรุ่นี้ได้กล่าวว่า “เพราะว่าผมเองก็มีลูก เด็กๆ มักจะชอบเอาของต่างๆ ใส่ปาก ก็คิดว่าอยากจะล้างทำความสะอาดสมาร์ทโฟน ก็เลยคิดและผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ขึ้นมา"
ด้านตัวแทนบริษัทผู้ผลิตกล่าวว่า จุดประสงค์ของสมาร์ทโฟนทำความสะอาดได้นั้นคือ อยากให้พ่อ-แม่ ผู้ปกครองมีโทรศัพท์ที่สะอาด ปราศจากเชื้อแบคทีเรียทุกครั้งที่ลูกๆของพวกเขาเผลอหยิบไปเล่น สำหรับราคาจำหน่ายนั้นอยู่ที่เครื่องละ 175 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 6,200 บาท
แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจไปว่าสบู่ทุกยี่ห้อจะสามารถล้างสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้เสมอไป เพราะทางผู้ผลิตบอกว่าต้องใช้สบู่เฉพาะที่กำลังจะมีออกวางขายในประเทศญี่ปุ่นต่อไป
ในขณะนี้บริษัทที่ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของญี่ปุ่น KDDI ได้ร่วมมือกันกับผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ Kyocera ผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นกันน้ำได้ เรียกว่า Digno Rafre นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่สามารถทำความสะอาดได้ด้วยน้ำสบู่ แถมถ้าคุณเป็นคนชอบนอนแช่อาบน้ำอุ่นแล้วล่ะก็ ไม่ต้องกังวลใจเลย เพราะ Digno Rafre ออกแบบมาให้ทนทานต่อน้ำร้อนที่อุณหภูมิสูงถึง 43 องศา แล้วทาง KDDI ยังการันตีด้วยว่า โทรศัพท์รุ่นนี้กันน้ำได้ดีเยี่ยม ถึงขนาดที่สามารถนำสบู่มาฟอกทำความสะอาดตัวเครื่องได้เลย เพราะกลุ่มนักพัฒนาได้ทำลองนำโทรศัพท์รุ่นนี้มาทำความสะอาดด้วยสบู่มากถึง 700 ครั้ง ในขั้นทดลอง ทั้งนี้เพื่อทำให้สมาร์ทโฟนไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ติดกับผู้ใช้มากที่สุด
โดยเฉพาะกับเด็กที่ชอบหยิบโทรศัพท์พ่อ-แม่มาเล่น หรือชอบนำโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในปาก ก็สามารถสบายใจได้ว่าจะปลอดภัยสำหรับลูกน้อย
หรือแม้แต่ในขณะที่ทำครัวหรือประกอบอาหารอยู่ก็สามารถสัมผัสหน้าจอได้ทั้งมือที่เปียกๆ
จากข้อมูลของบริษัท KDDI นั้นฟองของสบู่จะเข้าไปด้านในของสมาร์ทโฟนได้ง่ายกว่าน้ำ ดังนั้น ทางบริษัท KDDI จึงเปลี่ยนบริเวณฝาครอบ (=กรอบ) หรือบริเวณที่เสียบอย่างเช่นหูฟังใหม่ เพื่อทำให้ฟองเข้าไปด้านในได้ยากขึ้น
คุณยามาดะ อากิระที่ทำงานอยู่ที่บริษัท KDDI ที่คิดค้นสมาร์ทโฟนรุ่นี้ได้กล่าวว่า “เพราะว่าผมเองก็มีลูก เด็กๆ มักจะชอบเอาของต่างๆ ใส่ปาก ก็คิดว่าอยากจะล้างทำความสะอาดสมาร์ทโฟน ก็เลยคิดและผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ขึ้นมา"
ด้านตัวแทนบริษัทผู้ผลิตกล่าวว่า จุดประสงค์ของสมาร์ทโฟนทำความสะอาดได้นั้นคือ อยากให้พ่อ-แม่ ผู้ปกครองมีโทรศัพท์ที่สะอาด ปราศจากเชื้อแบคทีเรียทุกครั้งที่ลูกๆของพวกเขาเผลอหยิบไปเล่น สำหรับราคาจำหน่ายนั้นอยู่ที่เครื่องละ 175 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 6,200 บาท
แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจไปว่าสบู่ทุกยี่ห้อจะสามารถล้างสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้เสมอไป เพราะทางผู้ผลิตบอกว่าต้องใช้สบู่เฉพาะที่กำลังจะมีออกวางขายในประเทศญี่ปุ่นต่อไป
Posted by mod at
16:21
│Comments(0)
2015年12月04日
お歳暮に使う大きなえびを箱に入れる仕事が始まる ของขวัญช่วงสิ้นปี
ในประเทศญี่ปุ่นจะมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เรียกว่า “お歳暮 (せいぼ)” คือเป็นธรรมเนียมการมอบของขวัญในช่วงสิ้นปีซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่น โดยจะมอบให้กับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน อาจารย์ เพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้มีอุปการะคุณสำหรับความช่วยเหลือในปีที่ผ่านมาในช่วงเดือน ธ.ค.
ที่ร้านค้าที่ขายอย่างเช่นปลาในเมืองโทบะ จังหวัดมิเอะ จะใส่กุ้งตัวใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า “伊勢えび (Ise-ebi) หรือ “กุ้งมังกรญี่ปุ่น” ที่ยังเป็นๆ อยู่ลงในกล่องแล้วส่งให้ลูกค้าเป็นของขวัญที่ส่งให้แก่ผู้มีพระคุณในช่วงปลายปี
กุ้งมังกรญี่ปุ่น (อังกฤษ: Japanese spiny lobster; ญี่ปุ่น: イセエビ(伊勢蝦/伊勢海老); อิเสะ-อิบิ เป็นครัสเตเชียนชนิดหนึ่ง จำพวกกุ้งมังกร (Palinuridae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panulirus japonicus
เป็นกุ้งมังกรที่มีเปลือกและส่วนหัวเป็นสีส้มเข้มหรือสีแดง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้มากกว่า 30 เซนติเมตร หรือหนึ่งฟุต อาศัยอยู่ตามโขดหินในทะเลรอบ ๆ ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี และไต้หวันเป็นกุ้งที่ออกหากินในเวลากลางคืน
ที่ญี่ปุ่น สถานที่ ๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีกุ้งมังกรญี่ปุ่นชุกชุมและขึ้นชื่อมากที่สุด คือ อ่าววะกุ ในเขตเมืองชิมะ จังหวัดมิเอะ ทางตอนใต้ของประเทศ โดยชาวประมงจะวางลอบดักกุ้งในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่กุ้งออกหากิน และกลับมาดึงอวนในเวลาเช้าตรู่ ในการวางอวนแต่ละครั้งจะวางประมาณ 10 จุด ในแต่ละจุดจะมีกุ้งมังกรญี่ปุ่นติดมาประมาณ 100 ตัว
กุ้งมังกรญี่ปุ่นซาชิมิ
กุ้งมังกรญี่ปุ่น จัดเป็นอาหารทะเลที่รสชาติอร่อย เนื้อขาวมีรสหวาน และมีราคาซื้อขายที่แพงมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ ได้มากมาย โดยการรับประทานในแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม คือ การรับประทานสด ๆ แบบซาชิมิ โดยตัดส่วนหัวของกุ้งแยกออกจากลำตัว เมื่อรับประทานเนื้อสด ๆ ต้องรับประทานร่วมกับมันกุ้งที่แคะออกจากส่วนหัวด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ และการใช้ไม้แหลมเสียบทะลุตัวกุ้งจากส่วนท้าย แล้วนำไปย่างสด ๆ โรยเกลือทั้งที่กุ้งยังเป็น ๆ อยู่ เพื่อรับประทานเป็นกุ้งมังกรญี่ปุ่นโรยเกลือ
แล้วการทำงานที่ใส่กุ้งลงในกล่องก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เดือนธ.ค. ที่ผ่านมา
คนที่ทำงานในร้านค้าจะต้องใส่กุ้งลงไปในกล่องอย่างทนุถนอมในขณะที่ต้องพยายามไม่ทำให้ขาหรือหนวดของกุ้งหักเสียหาย
โดยในปีนี้ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้กุ้งขนาด 4 ตัวมีราคาตกอยู่ที่ราวๆ 1 หมื่นเยนถึง1 หมื่น 5 พันเยน
คนที่ทำงานในร้านค้ากล่าวว่า “อยากให้คนได้กินกุ้งอิเซะตัวนี้เพื่อต้อนรับปีใหม่ที่จะมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิต
แต่ปัจจุบันนี้การทำงานของคนญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด งานการเยอะแยะยุ่งเหยิง ก็มักหาอีกทางเลือกนึงในการการมอบของขวัญนั้นก็คือ “ห้างสรรพสินค้า” เป็นธุระจัดการแพ็คกล่องส่งให้ถึงมือผู้รับ ซึ่งช่วงนี้บรรดาห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าทั่วไปจะเนื่องแน่นไปด้วยข้าวของสินค้าต่างๆและผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของเป็นอันมาก
สำหรับสินค้าที่นิยมซื้อให้กันนั้นมักจะเป็นของกิน เช่น บรรดาเครื่องดื่มต่างๆ กาแฟ นม น้ำผลไม้ เบียร์ หรือบางคนอาจจะให้พวกเนื้อหมู เนื้อวัว แฮม ไส้กรอก บะหมี่ ผลไม้สด ฯลฯ จะได้ให้ผู้รับสามารถทำ (おせちOsechi อาหารชุดปีใหม่แบบญี่ปุ่น) ได้ทานกันเพื่อฉลองปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง หรือของที่สามารถใช้ได้ถึงปีหน้าจะเป็นพวกของใช้ต่างๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอก ผ้าเช็ดตัว ปากกา ฯลฯ
ส่วนสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการมอบของขวัญมักจะเป็นของที่อยู่ได้ไม่นานแล้วเสียไป เช่น ดอกไม้ เพราะสื่อความหมายว่าอยู่ได้ไม่นานก็ร่วงโรยไป... หรือของใช้มีคม เช่น มีด กรรไกร เพราะสื่อความหมายถึงการตัดความสัมพันธ์ต่อกัน
การมอบของขวัญให้กันนั้น สิ่งของแต่ละชิ้นล้วนมีความหมายบ่งบอกในตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของที่โก้หรูหรือมีมูลค่าที่แพงมาก แต่สิ่งที่สำคัญนั้นก็คือ สิ่งของที่ให้นั้นมีคุณค่าทางจิตใจที่มอบให้แก่ผู้รับนั้นสำคัญที่สุด ยิ่งถ้าของสิ่งนั้นตั้งใจทำด้วยตัวเองกับมือแล้วล่ะก็ผู้รับจะยิ่งมีความรู้สึกดีมากขึ้น
ที่ร้านค้าที่ขายอย่างเช่นปลาในเมืองโทบะ จังหวัดมิเอะ จะใส่กุ้งตัวใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า “伊勢えび (Ise-ebi) หรือ “กุ้งมังกรญี่ปุ่น” ที่ยังเป็นๆ อยู่ลงในกล่องแล้วส่งให้ลูกค้าเป็นของขวัญที่ส่งให้แก่ผู้มีพระคุณในช่วงปลายปี
กุ้งมังกรญี่ปุ่น (อังกฤษ: Japanese spiny lobster; ญี่ปุ่น: イセエビ(伊勢蝦/伊勢海老); อิเสะ-อิบิ เป็นครัสเตเชียนชนิดหนึ่ง จำพวกกุ้งมังกร (Palinuridae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panulirus japonicus
เป็นกุ้งมังกรที่มีเปลือกและส่วนหัวเป็นสีส้มเข้มหรือสีแดง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้มากกว่า 30 เซนติเมตร หรือหนึ่งฟุต อาศัยอยู่ตามโขดหินในทะเลรอบ ๆ ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี และไต้หวันเป็นกุ้งที่ออกหากินในเวลากลางคืน
ที่ญี่ปุ่น สถานที่ ๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีกุ้งมังกรญี่ปุ่นชุกชุมและขึ้นชื่อมากที่สุด คือ อ่าววะกุ ในเขตเมืองชิมะ จังหวัดมิเอะ ทางตอนใต้ของประเทศ โดยชาวประมงจะวางลอบดักกุ้งในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่กุ้งออกหากิน และกลับมาดึงอวนในเวลาเช้าตรู่ ในการวางอวนแต่ละครั้งจะวางประมาณ 10 จุด ในแต่ละจุดจะมีกุ้งมังกรญี่ปุ่นติดมาประมาณ 100 ตัว
กุ้งมังกรญี่ปุ่นซาชิมิ
กุ้งมังกรญี่ปุ่น จัดเป็นอาหารทะเลที่รสชาติอร่อย เนื้อขาวมีรสหวาน และมีราคาซื้อขายที่แพงมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ ได้มากมาย โดยการรับประทานในแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม คือ การรับประทานสด ๆ แบบซาชิมิ โดยตัดส่วนหัวของกุ้งแยกออกจากลำตัว เมื่อรับประทานเนื้อสด ๆ ต้องรับประทานร่วมกับมันกุ้งที่แคะออกจากส่วนหัวด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ และการใช้ไม้แหลมเสียบทะลุตัวกุ้งจากส่วนท้าย แล้วนำไปย่างสด ๆ โรยเกลือทั้งที่กุ้งยังเป็น ๆ อยู่ เพื่อรับประทานเป็นกุ้งมังกรญี่ปุ่นโรยเกลือ
แล้วการทำงานที่ใส่กุ้งลงในกล่องก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เดือนธ.ค. ที่ผ่านมา
คนที่ทำงานในร้านค้าจะต้องใส่กุ้งลงไปในกล่องอย่างทนุถนอมในขณะที่ต้องพยายามไม่ทำให้ขาหรือหนวดของกุ้งหักเสียหาย
โดยในปีนี้ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้กุ้งขนาด 4 ตัวมีราคาตกอยู่ที่ราวๆ 1 หมื่นเยนถึง1 หมื่น 5 พันเยน
คนที่ทำงานในร้านค้ากล่าวว่า “อยากให้คนได้กินกุ้งอิเซะตัวนี้เพื่อต้อนรับปีใหม่ที่จะมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิต
แต่ปัจจุบันนี้การทำงานของคนญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด งานการเยอะแยะยุ่งเหยิง ก็มักหาอีกทางเลือกนึงในการการมอบของขวัญนั้นก็คือ “ห้างสรรพสินค้า” เป็นธุระจัดการแพ็คกล่องส่งให้ถึงมือผู้รับ ซึ่งช่วงนี้บรรดาห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าทั่วไปจะเนื่องแน่นไปด้วยข้าวของสินค้าต่างๆและผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของเป็นอันมาก
สำหรับสินค้าที่นิยมซื้อให้กันนั้นมักจะเป็นของกิน เช่น บรรดาเครื่องดื่มต่างๆ กาแฟ นม น้ำผลไม้ เบียร์ หรือบางคนอาจจะให้พวกเนื้อหมู เนื้อวัว แฮม ไส้กรอก บะหมี่ ผลไม้สด ฯลฯ จะได้ให้ผู้รับสามารถทำ (おせちOsechi อาหารชุดปีใหม่แบบญี่ปุ่น) ได้ทานกันเพื่อฉลองปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง หรือของที่สามารถใช้ได้ถึงปีหน้าจะเป็นพวกของใช้ต่างๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอก ผ้าเช็ดตัว ปากกา ฯลฯ
ส่วนสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการมอบของขวัญมักจะเป็นของที่อยู่ได้ไม่นานแล้วเสียไป เช่น ดอกไม้ เพราะสื่อความหมายว่าอยู่ได้ไม่นานก็ร่วงโรยไป... หรือของใช้มีคม เช่น มีด กรรไกร เพราะสื่อความหมายถึงการตัดความสัมพันธ์ต่อกัน
การมอบของขวัญให้กันนั้น สิ่งของแต่ละชิ้นล้วนมีความหมายบ่งบอกในตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของที่โก้หรูหรือมีมูลค่าที่แพงมาก แต่สิ่งที่สำคัญนั้นก็คือ สิ่งของที่ให้นั้นมีคุณค่าทางจิตใจที่มอบให้แก่ผู้รับนั้นสำคัญที่สุด ยิ่งถ้าของสิ่งนั้นตั้งใจทำด้วยตัวเองกับมือแล้วล่ะก็ผู้รับจะยิ่งมีความรู้สึกดีมากขึ้น
Posted by mod at
15:52
│Comments(0)
2015年12月03日
「ミドリムシ」から飛行機の燃料をつくる工場を建てる ญี่ปุ่นผลิตเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินจากจุลินทรีย์
ถ้าพูดถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว ไม่ใช่แค่ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าด้วย อย่างในวันนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ได้พัฒนาคิดค้นเรื่องพลังงานทดแทนขึ้นมาแล้ว
โดยบริษัทในกรุงโตเกียวได้ออกมาเปิดเผยว่าจะตั้งโรงงานผลิตเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินจากจุลินทรีย์ที่ชื่อว่า “Midorimushi” หรือยูกลีนา(euglena) ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของประเทศญี่ปุ่น
จุลินทรีย์ยูกลีนา (euglena) จะเป็นสัตว์เซลล์เดียวขยายพันธุ์ได้โดยวิธีแบ่งเซลล์ มีลักษณะเป็นรูปกระสวย หน้าป้าน ท้ายเรียว
เชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากข้าวโพดหรือถั่วเหลืองนั้นจะไม่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเนื่องจากจะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา
แต่ว่า ถ้าผลิตเชื้อเพลิงจากสิ่งที่สามารถรับประทานได้แล้วล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้ราคาของอาหารสูงขึ้นด้วย
แต่สำหรับจุลินทรีย์ยูกลีนาจะสามารถทำให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ แล้วน้ำมันที่จุลินทรีย์ยูกลีนาผลิตได้ในตัวของมันเองนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับเชื้อเพลิงของเครื่องบินด้วย
ดังนั้น บริษัทนี้จึงจะผลิตเชื้อเพลิงที่ผลิตจากจุลินทรีย์ยูกลีนาและนำไปใช้ในเครื่องบินของบริษัท ออล นิปปอน แอร์เวย์ (ANA) ภายใน 5 ปีนับจากนี้ไป
โดยบริษัทในกรุงโตเกียวได้ออกมาเปิดเผยว่าจะตั้งโรงงานผลิตเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินจากจุลินทรีย์ที่ชื่อว่า “Midorimushi” หรือยูกลีนา(euglena) ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของประเทศญี่ปุ่น
จุลินทรีย์ยูกลีนา (euglena) จะเป็นสัตว์เซลล์เดียวขยายพันธุ์ได้โดยวิธีแบ่งเซลล์ มีลักษณะเป็นรูปกระสวย หน้าป้าน ท้ายเรียว
เชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากข้าวโพดหรือถั่วเหลืองนั้นจะไม่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเนื่องจากจะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา
แต่ว่า ถ้าผลิตเชื้อเพลิงจากสิ่งที่สามารถรับประทานได้แล้วล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้ราคาของอาหารสูงขึ้นด้วย
แต่สำหรับจุลินทรีย์ยูกลีนาจะสามารถทำให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ แล้วน้ำมันที่จุลินทรีย์ยูกลีนาผลิตได้ในตัวของมันเองนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับเชื้อเพลิงของเครื่องบินด้วย
ดังนั้น บริษัทนี้จึงจะผลิตเชื้อเพลิงที่ผลิตจากจุลินทรีย์ยูกลีนาและนำไปใช้ในเครื่องบินของบริษัท ออล นิปปอน แอร์เวย์ (ANA) ภายใน 5 ปีนับจากนี้ไป
Posted by mod at
14:24
│Comments(0)