
2016年05月31日
หน่อไม้ฝรั่งยักษ์ 巨大なアスパラガス
ใครชอบกินผักบ้าง ยกมือขึ้น!
ฉันเองก็กินได้บ้างนะคะ แต่ต้องเป็นผักที่ไม่กลิ่นแรง อย่างเช่นผักชี ต้นหอม หัวหอม อะไรพวกนี้ฉันจะไม่ค่อยกินค่ะ
ผักโปรดของฉันก็คือหน่อไม้ฝรั่งค่ะ
แล้วตอนนี้ที่ฮอคไกโดก็เป็นฤดูกาลในการเก็บหน่อไม้ฝรั่งด้วย แต่วันนี้ที่จะพาไปดูไม่ใช่หน่อไม้ฝรั่งธรรมดาๆ นะคะ เป็นหน่อไม้ฝรั่งยักษ์ค่ะ
มาดูกันนะคะว่าจะใหญ่ยักษ์ขนาดไหน

ที่เมือง Memuro ในฮอคไกโด ได้มีการปลูกหน่อไม้ฝรั่งที่ให้ต้นใหญ่โตมากๆ มีความสูงประมาณ 1 เมตรและมีขนาดต้นใหญ่ถึง 12 ซม.เลยทีเดียว นับว่าเป็นหน่อไม้ฝรั่งยักษ์เลยก็ว่าได้นะคะ
มาดูกันชัดๆ เลยค่ะ

ปกติหน่อไม้ฝรั่งจะต้นเล็กๆ แบบนี้

หน่อไม้ฝรั่งในสวนของคุณ Torimoto Kunio นั้นมีขนาดใหญ่โตมากๆ โดยมันงอกออกมา 12 ต้นในต้นเดียว
พวกเด็ก ๆที่อยู่ใกล้ๆ กับสวนนั้นก็จะมาดูแล้วพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “อู้หู ใหญ่จังเลย” “สุดยอดมากๆเลย”
ศูนย์ส่งเสริมการเกษตร Tokachi (HOKKAIDO GOVERNMENT TOKACHI GENERAL SUBPREFECTURAL BUREAU) ได้กล่าวว่า “การที่ผักและดอกไม้จะเจริญเติบโตใหญ่ขนาดนี้ก็มีอยู่บ้าง แต่การเจริญเติบโตแบบที่มี 12 ต้นงอกรวมกันอยู่ในต้นเดียวแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด และพบเห็นได้ยาก”
แล้วคุณ Morimoto ก็ยังได้กล่าวว่า “ผมปลูกหน่อไม้ฝรั่งมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกครับ ผมคิดว่าจะไม่เก็บมากิน อยากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ครับ”
สำหรับประเทศญี่ปุ่นเขาคงอยากเก็บไว้เพื่อความภูมิใจนะคะ แต่ถ้าเป็นที่ประเทศไทยล่ะก็ ได้มีการแห่กันไปขอเลขเด็ดแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก NHK News
ฉันเองก็กินได้บ้างนะคะ แต่ต้องเป็นผักที่ไม่กลิ่นแรง อย่างเช่นผักชี ต้นหอม หัวหอม อะไรพวกนี้ฉันจะไม่ค่อยกินค่ะ
ผักโปรดของฉันก็คือหน่อไม้ฝรั่งค่ะ
แล้วตอนนี้ที่ฮอคไกโดก็เป็นฤดูกาลในการเก็บหน่อไม้ฝรั่งด้วย แต่วันนี้ที่จะพาไปดูไม่ใช่หน่อไม้ฝรั่งธรรมดาๆ นะคะ เป็นหน่อไม้ฝรั่งยักษ์ค่ะ
มาดูกันนะคะว่าจะใหญ่ยักษ์ขนาดไหน

ที่เมือง Memuro ในฮอคไกโด ได้มีการปลูกหน่อไม้ฝรั่งที่ให้ต้นใหญ่โตมากๆ มีความสูงประมาณ 1 เมตรและมีขนาดต้นใหญ่ถึง 12 ซม.เลยทีเดียว นับว่าเป็นหน่อไม้ฝรั่งยักษ์เลยก็ว่าได้นะคะ
มาดูกันชัดๆ เลยค่ะ

ปกติหน่อไม้ฝรั่งจะต้นเล็กๆ แบบนี้

หน่อไม้ฝรั่งในสวนของคุณ Torimoto Kunio นั้นมีขนาดใหญ่โตมากๆ โดยมันงอกออกมา 12 ต้นในต้นเดียว
พวกเด็ก ๆที่อยู่ใกล้ๆ กับสวนนั้นก็จะมาดูแล้วพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “อู้หู ใหญ่จังเลย” “สุดยอดมากๆเลย”
ศูนย์ส่งเสริมการเกษตร Tokachi (HOKKAIDO GOVERNMENT TOKACHI GENERAL SUBPREFECTURAL BUREAU) ได้กล่าวว่า “การที่ผักและดอกไม้จะเจริญเติบโตใหญ่ขนาดนี้ก็มีอยู่บ้าง แต่การเจริญเติบโตแบบที่มี 12 ต้นงอกรวมกันอยู่ในต้นเดียวแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด และพบเห็นได้ยาก”
แล้วคุณ Morimoto ก็ยังได้กล่าวว่า “ผมปลูกหน่อไม้ฝรั่งมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกครับ ผมคิดว่าจะไม่เก็บมากิน อยากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ครับ”
สำหรับประเทศญี่ปุ่นเขาคงอยากเก็บไว้เพื่อความภูมิใจนะคะ แต่ถ้าเป็นที่ประเทศไทยล่ะก็ ได้มีการแห่กันไปขอเลขเด็ดแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก NHK News
Posted by mod at
13:32
│Comments(0)
2016年05月27日
Check in โรงแรมด้วยลายนิ้วมือ
ในยุคสมัยนี้ที่มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตเรามากมาย อย่างบางบริษัทได้มีการเปลี่ยนการลงเวลาการทำงานจากการตอกบัตรมาเป็นการใช้เครื่องสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งสร้างความสะดวกสบายและตรวจสอบได้แน่นอนมากขึ้น เพราะคงลงเวลาทำงานแทนกันไม่ได้แล้ว เนื่องจากลายนิ้วมือถือของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน นอกจากนี้เครื่องแสกนลายนิ้วมือยังนำมาใช้อีกมากมายอย่างเช่นในการเดินทาง ซึ่งใช้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานในหลายประเทศ โดยนิยมนำเครื่องสแกนลายนิ้วมือมาใช้ประโยชน์กันอย่างหลากหลาย เช่น ขั้นตอนการเช็คอินของสายการบิน การตรวจคนเข้าเมือง การเข้าไปในเกตอัตโนมัติ เป็นต้น

ในตอนนี้ก็ยังมีการนำมาใช้ในการเช็คอินโรงแรมด้วย อย่างเช่นในตอนที่ชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวจะเช็คอินในโรงแรมที่ญี่ปุ่น ทางโรงแรมก็จะต้องขอดูพาสปอร์ตและถ่ายเอกสารเอาไว้ วิธีการทำแบบนั้นมันจะเสียเวลามากเลยทีเดียว
ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมได้คิดว่าจะใช้ลายนิ้วมือในการตรวจสอบยืนยันตัวตนเพื่อให้ใช้เวลาในการเช็คอินได้เร็วยิ่งขึ้น
ตั้งแต่เดือนหน้าจะได้มีการดำเนินการทดสอบหาวิธีการที่ดีที่สุดในโรงแรมแถวอิเคบุคุโรในกรุงโตเกียว
ในการทดสอบนั้นจะนำระบบ AI (artificial intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์) มาใช้ โดยจะค้นหาและยืนยันลายนิ้วมือที่ระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้ทันทีจากบรรดาลายนิ้วมือที่ได้ทำการลงทะเบียนไว้ (สะดวกสบายจริงๆ)
แต่ในการเข้าพักครั้งแรกยังจำเป็นที่จะต้องลงทะเบียนด้วยพาสปอร์ตและลายนิ้วมืออยู่ แต่การเข้าพักตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไปจะสามารถตรวจยืนยันให้เสร็จเรียบร้อยได้ในทันที
กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมคิดว่าอยากจะทำให้การเช็คอินด้วยลายนิ้วมือสามารถทำได้ภายในปี 2020 ในการเปิดโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียว
ฉันคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากมาย อย่างเช่นใช้เวลาในการตรวจพิสูจน์ต่อบุคคลน้อยลง สามารถตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ตัวบุคคลได้แม่นยำและรวดเร็ว ยกระดับความปลอดภัยในการเข้าพักโรงแรม เพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการเพราะการสแกนลายนิ้วมือจะมีการทำงานประมวลผลที่รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลารอคอยในการตรวจสอบเอกสารเป็นเวลานานๆ แล้วที่สำคัญที่สุดก็เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทันสมัย เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ ทำให้อยากมาเข้ามาท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก News Web Easy ของ NHK

ในตอนนี้ก็ยังมีการนำมาใช้ในการเช็คอินโรงแรมด้วย อย่างเช่นในตอนที่ชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวจะเช็คอินในโรงแรมที่ญี่ปุ่น ทางโรงแรมก็จะต้องขอดูพาสปอร์ตและถ่ายเอกสารเอาไว้ วิธีการทำแบบนั้นมันจะเสียเวลามากเลยทีเดียว
ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมได้คิดว่าจะใช้ลายนิ้วมือในการตรวจสอบยืนยันตัวตนเพื่อให้ใช้เวลาในการเช็คอินได้เร็วยิ่งขึ้น
ตั้งแต่เดือนหน้าจะได้มีการดำเนินการทดสอบหาวิธีการที่ดีที่สุดในโรงแรมแถวอิเคบุคุโรในกรุงโตเกียว
ในการทดสอบนั้นจะนำระบบ AI (artificial intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์) มาใช้ โดยจะค้นหาและยืนยันลายนิ้วมือที่ระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้ทันทีจากบรรดาลายนิ้วมือที่ได้ทำการลงทะเบียนไว้ (สะดวกสบายจริงๆ)
แต่ในการเข้าพักครั้งแรกยังจำเป็นที่จะต้องลงทะเบียนด้วยพาสปอร์ตและลายนิ้วมืออยู่ แต่การเข้าพักตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไปจะสามารถตรวจยืนยันให้เสร็จเรียบร้อยได้ในทันที
กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมคิดว่าอยากจะทำให้การเช็คอินด้วยลายนิ้วมือสามารถทำได้ภายในปี 2020 ในการเปิดโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียว
ฉันคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากมาย อย่างเช่นใช้เวลาในการตรวจพิสูจน์ต่อบุคคลน้อยลง สามารถตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ตัวบุคคลได้แม่นยำและรวดเร็ว ยกระดับความปลอดภัยในการเข้าพักโรงแรม เพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการเพราะการสแกนลายนิ้วมือจะมีการทำงานประมวลผลที่รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลารอคอยในการตรวจสอบเอกสารเป็นเวลานานๆ แล้วที่สำคัญที่สุดก็เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทันสมัย เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ ทำให้อยากมาเข้ามาท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก News Web Easy ของ NHK
Posted by mod at
13:44
│Comments(0)
2016年05月26日
อุต๊ะ พญานาคบุก
อุต๊ะ นั่นตัวอะไรอ่ะ ช่างยาวจริงๆ หรือว่าจะเป็นพญานาค

เมื่อเช้าวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาได้มีปลาหายากที่ชื่อว่าปลา “ปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้น” ติดเข้ามาอยู่ในอวนจับปลาที่ทะเลในเมืองโอดะ จังหวัดชิมาเนะ

ลำตัวจะเป็นสีเงินแล้วมีครีบสีแดง ความยาวลำตัวประมาณ 1.50 เมตร ปลาชนิดนี้มักจะอาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกระหว่าง 50-250 เมตร จึงพบเห็นได้ยากมาก แต่มีผู้พบเห็นกันเป็นระยะ ๆ ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อยไปจนถึงทะเลนอกชายฝั่งเม็กซิโก และแถบหมู่เกาะเบอร์มิวดา โดยมีความยาวได้สูงสุดยาวถึง 9 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม ส่วนใหญ่มักถูกคลื่นซัดออกมาเกยหาด หรือไม่ก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับปลา เช่น ป่วย หรือใกล้ตาย น้อยครั้งที่จะมีการพบเห็นขณะมีชีวิตอยู่
เหมือนกับที่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2539 ได้ปรากฏภาพถ่ายใบหนึ่งของกลุ่มทหารชาวอเมริกันอุ้มปลาชนิดนี้ แพร่กระจายกันทั่วไปในสังคมไทย ทำให้เกิดความเชื่อว่า นั่นเป็นพญานาคที่จับได้จากแม่น้ำโขง และเชื่อว่า ภาพถ่ายนั้นถ่ายที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในประเทศลาวและถ่ายมานานแล้วกว่า 30 ปี ในยุคสงครามเวียดนาม แต่แท้จริงแล้วเป็นภาพที่ถ่ายในค่ายทหารที่เกาะโคโรนาโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปีเดียวกันนั้นเอง และเป็นปลาที่อยู่จับได้ในมหาสมุทรแปซิฟิก แถบทวีปอเมริกาใต้

คนที่พบปลาตัวนี้หลังจากที่นำมาท่าเรือแล้วก็ได้นำกลับไปปล่อยคืนในทะเล (ใจดีจริงๆ) คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นได้ดำลงไปในทะเลแล้วถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ ปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้นได้ค่อยๆ ว่ายน้ำและกลับลงไปสู่ทะเลลึก
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของจังหวัดชิมาเนะได้กล่าวว่า “คิดว่าคงจะลากปลาตัวนี้ติดกับอวนมาจากทะเลลึกจนมาถึงใกล้ๆ กับชายหาด แล้ววิดีโอที่ถ่ายปลาออร์หรือปลาริบบิ้นที่กำลังว่ายน้ำอยู่นั้นหาดูได้ยากมากทีเดียว”
หมายเหตุ
*จังหวัดชิมะเนะ (ญี่ปุ่น: 島根県 Shimane-ken ?) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคจูโงกุบนเกาะฮนชู ลักษณะภูมิศาสตร์ของจังหวัดชิมะเนะเป็นที่ราบสลับหุบเขาสูงทิศเหนือติดกับทะเลญี่ปุ่น ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดยะมะงุจิ ทิศใต้ติดกับจังหวัดฮิโระชิมะ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดทตโตะริ จังหวัดชิมะเนะมีเมืองหลวงชื่อเมืองมัตสึเอะ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชินจิโกะ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามยามเย็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ยังมีปราสาทมัตสึเอะโจปราสาทเก่าแก่โบราณด้วย

เมื่อเช้าวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาได้มีปลาหายากที่ชื่อว่าปลา “ปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้น” ติดเข้ามาอยู่ในอวนจับปลาที่ทะเลในเมืองโอดะ จังหวัดชิมาเนะ

ลำตัวจะเป็นสีเงินแล้วมีครีบสีแดง ความยาวลำตัวประมาณ 1.50 เมตร ปลาชนิดนี้มักจะอาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกระหว่าง 50-250 เมตร จึงพบเห็นได้ยากมาก แต่มีผู้พบเห็นกันเป็นระยะ ๆ ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อยไปจนถึงทะเลนอกชายฝั่งเม็กซิโก และแถบหมู่เกาะเบอร์มิวดา โดยมีความยาวได้สูงสุดยาวถึง 9 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม ส่วนใหญ่มักถูกคลื่นซัดออกมาเกยหาด หรือไม่ก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับปลา เช่น ป่วย หรือใกล้ตาย น้อยครั้งที่จะมีการพบเห็นขณะมีชีวิตอยู่
เหมือนกับที่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2539 ได้ปรากฏภาพถ่ายใบหนึ่งของกลุ่มทหารชาวอเมริกันอุ้มปลาชนิดนี้ แพร่กระจายกันทั่วไปในสังคมไทย ทำให้เกิดความเชื่อว่า นั่นเป็นพญานาคที่จับได้จากแม่น้ำโขง และเชื่อว่า ภาพถ่ายนั้นถ่ายที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในประเทศลาวและถ่ายมานานแล้วกว่า 30 ปี ในยุคสงครามเวียดนาม แต่แท้จริงแล้วเป็นภาพที่ถ่ายในค่ายทหารที่เกาะโคโรนาโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปีเดียวกันนั้นเอง และเป็นปลาที่อยู่จับได้ในมหาสมุทรแปซิฟิก แถบทวีปอเมริกาใต้

คนที่พบปลาตัวนี้หลังจากที่นำมาท่าเรือแล้วก็ได้นำกลับไปปล่อยคืนในทะเล (ใจดีจริงๆ) คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นได้ดำลงไปในทะเลแล้วถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ ปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้นได้ค่อยๆ ว่ายน้ำและกลับลงไปสู่ทะเลลึก
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของจังหวัดชิมาเนะได้กล่าวว่า “คิดว่าคงจะลากปลาตัวนี้ติดกับอวนมาจากทะเลลึกจนมาถึงใกล้ๆ กับชายหาด แล้ววิดีโอที่ถ่ายปลาออร์หรือปลาริบบิ้นที่กำลังว่ายน้ำอยู่นั้นหาดูได้ยากมากทีเดียว”
หมายเหตุ
*จังหวัดชิมะเนะ (ญี่ปุ่น: 島根県 Shimane-ken ?) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคจูโงกุบนเกาะฮนชู ลักษณะภูมิศาสตร์ของจังหวัดชิมะเนะเป็นที่ราบสลับหุบเขาสูงทิศเหนือติดกับทะเลญี่ปุ่น ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดยะมะงุจิ ทิศใต้ติดกับจังหวัดฮิโระชิมะ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดทตโตะริ จังหวัดชิมะเนะมีเมืองหลวงชื่อเมืองมัตสึเอะ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชินจิโกะ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามยามเย็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ยังมีปราสาทมัตสึเอะโจปราสาทเก่าแก่โบราณด้วย
Posted by mod at
15:16
│Comments(0)
2016年05月24日
忍者寺 วัดนินจา
นิน นิน นิน นิน นิน…….
วันนี้ เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องนินจากันนะคะ คำว่านินจาเชื่อว่ามีการใช้มาประมาณ 800 ปีก่อน ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ (วิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน) ซึ่งมาจากประโยคที่ว่า ชิโนบิโนะโมโนะ โดยเขียนในคันจิว่า 忍者 โดยตัวอักษรแรก 忍 (นิน) หมายถึง "คงทน" โดยในภายหลังคำนี้ได้มีความหมายเพิ่มเติมหมายถึง "การซ่อนตัว" และ "การขโมย" โดยตัวอักษรที่สอง 者 (จา) หมายถึง "บุคคล"
แต่เราจะไม่ไปโรงเรียนสอนนินจาหรือพิพิธภัณฑ์นินจากันนะคะ เราจะพาไปรู้จักวัดค่ะ แล้ววัดเกี่ยวอะไรกับนินจาด้วย เราไปดูกันคะ

วัดเมียวริวจิ (Myoryuji Temple) หรือ “วัดนินจา” (Ninja Temple) วัดนี้ได้สมญานามว่าเป็นวัดนินจา「忍者寺」 เนื่องจากภายในอาคารวัดสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อป้องกันและหลอกล่อศัตรู


วัดนี้ตั้งอยู่ในเมืองคานาซาวะ ในเขตการปกครองอิชิกาว่า เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงอันเลื่องลือสำหรับคนที่คลั่งไคล้หลงใหลในนินจา วัดนี้สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1585 ตามบัญชามาเอดะ โทชิอิเอะ (Maeda Toshiie) ผู้ครองแคว้นคะกะรุ่นที่ 3 เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของสมาชิกตระกูลมะเอะดะ โดยในตอนแรกนั้นตัววัดตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทคานาซาว่า แต่ต่อมาในปี 1643 ได้มีการย้ายวัดมายังบริเวณถนนเดระมาจิตามบัญชาของมาเอดะ โทชิซึเนะ (Maeda Toshitsune) ทางด้านทิศใต้ของเมืองดังที่เห็นในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าวัดนี้ด้านนอกจะดูเหมือนวัดธรรมดาทั่วไปที่ใช้เป็นวัดทางพระพุทธศาสนา แต่ด้านในวัดเมียวริวจิถูกออกแบบให้มีความลึกลับซับซ้อนมาก เราจะเห็นวัดนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น แต่เมื่อลองก้าวเข้าไปภายในวัด จะพบว่าอาคารหลังนี้มี 4 ชั้น 7 ชั้นย่อย และมีโครงสร้างที่ซับซ้อน มีทั้งหมด 23 ห้อง บันได 29 ขั้น ประกอบด้วยกับดักและสิ่งลวงตา 29 จุดเพื่อพรางศัตรู เช่น บันไดหรือห้องลับ ประตูและพื้นที่พลิกกลับด้านได้ รวมถึงหลุมลี้ภัยด้วย สมกับชื่อวัดนินจา

ดังนั้นวัดนี้จึงมีการใช้งานถึงสองทางคือเป็นด่านหน้ากองทหารลับและเป็นหนึ่งในตึก 'ป้องกันนินจา' ของแท้ที่ดีที่สุดซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ตึกอายุ 350 ปีนี้ถือเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริงของผู้บุกรุกซึ่งประกอบไปด้วยห้องลับ ทางเดินลับ บันไดที่ถูกอำพราง ประตูลวง และกลลวงที่ใช้ในการป้องกันอื่นๆ อีกมากมาย

โดยในอดีตเคยใช้เป็นด่านทหารปลอมสามารถป้องกันศัตรู และช่วยให้ทหารแจ้งเหตุไปยังป้อมปราการเมื่อมีการถูกโจมตีด้วย
แต่การเข้าชมวัดจะต้องจองล่วงหน้า และเข้าชมเป็นรอบๆ โดยจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินอย่างอิสระเหมือนวัดทั่วไป
ที่อยู่โนะมะจิ 1-2-12 คะนะซะวะ 921-8031
โทรศัพท์+81-(0)76-241-0888
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 800 เยน/ นักเรียนประถม 600 เยน ต้องจองล่วงหน้า (ไม่อนุญาตให้เด็กทารกเข้าชม)
เวลาทำการ09:00-16:30 (9:00-16:00 พ.ย. - ก.พ.)
วันหยุดวันหยุดทางพุทธศาสนา, วันที่ 1 ม.ค., 16-20 ม.ค.
การเดินทางเดิน 5 นาทีจากป้ายรถบัสโฮะคุเท็ตซึ "ฮิโระโคะจิ"
ขอบคุณข้อมูลจาก :วิกิพีเดีย/talon Tour
วันนี้ เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องนินจากันนะคะ คำว่านินจาเชื่อว่ามีการใช้มาประมาณ 800 ปีก่อน ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ (วิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน) ซึ่งมาจากประโยคที่ว่า ชิโนบิโนะโมโนะ โดยเขียนในคันจิว่า 忍者 โดยตัวอักษรแรก 忍 (นิน) หมายถึง "คงทน" โดยในภายหลังคำนี้ได้มีความหมายเพิ่มเติมหมายถึง "การซ่อนตัว" และ "การขโมย" โดยตัวอักษรที่สอง 者 (จา) หมายถึง "บุคคล"
แต่เราจะไม่ไปโรงเรียนสอนนินจาหรือพิพิธภัณฑ์นินจากันนะคะ เราจะพาไปรู้จักวัดค่ะ แล้ววัดเกี่ยวอะไรกับนินจาด้วย เราไปดูกันคะ

วัดเมียวริวจิ (Myoryuji Temple) หรือ “วัดนินจา” (Ninja Temple) วัดนี้ได้สมญานามว่าเป็นวัดนินจา「忍者寺」 เนื่องจากภายในอาคารวัดสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อป้องกันและหลอกล่อศัตรู


วัดนี้ตั้งอยู่ในเมืองคานาซาวะ ในเขตการปกครองอิชิกาว่า เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงอันเลื่องลือสำหรับคนที่คลั่งไคล้หลงใหลในนินจา วัดนี้สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1585 ตามบัญชามาเอดะ โทชิอิเอะ (Maeda Toshiie) ผู้ครองแคว้นคะกะรุ่นที่ 3 เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของสมาชิกตระกูลมะเอะดะ โดยในตอนแรกนั้นตัววัดตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทคานาซาว่า แต่ต่อมาในปี 1643 ได้มีการย้ายวัดมายังบริเวณถนนเดระมาจิตามบัญชาของมาเอดะ โทชิซึเนะ (Maeda Toshitsune) ทางด้านทิศใต้ของเมืองดังที่เห็นในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าวัดนี้ด้านนอกจะดูเหมือนวัดธรรมดาทั่วไปที่ใช้เป็นวัดทางพระพุทธศาสนา แต่ด้านในวัดเมียวริวจิถูกออกแบบให้มีความลึกลับซับซ้อนมาก เราจะเห็นวัดนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น แต่เมื่อลองก้าวเข้าไปภายในวัด จะพบว่าอาคารหลังนี้มี 4 ชั้น 7 ชั้นย่อย และมีโครงสร้างที่ซับซ้อน มีทั้งหมด 23 ห้อง บันได 29 ขั้น ประกอบด้วยกับดักและสิ่งลวงตา 29 จุดเพื่อพรางศัตรู เช่น บันไดหรือห้องลับ ประตูและพื้นที่พลิกกลับด้านได้ รวมถึงหลุมลี้ภัยด้วย สมกับชื่อวัดนินจา

ดังนั้นวัดนี้จึงมีการใช้งานถึงสองทางคือเป็นด่านหน้ากองทหารลับและเป็นหนึ่งในตึก 'ป้องกันนินจา' ของแท้ที่ดีที่สุดซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ตึกอายุ 350 ปีนี้ถือเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริงของผู้บุกรุกซึ่งประกอบไปด้วยห้องลับ ทางเดินลับ บันไดที่ถูกอำพราง ประตูลวง และกลลวงที่ใช้ในการป้องกันอื่นๆ อีกมากมาย

โดยในอดีตเคยใช้เป็นด่านทหารปลอมสามารถป้องกันศัตรู และช่วยให้ทหารแจ้งเหตุไปยังป้อมปราการเมื่อมีการถูกโจมตีด้วย
แต่การเข้าชมวัดจะต้องจองล่วงหน้า และเข้าชมเป็นรอบๆ โดยจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินอย่างอิสระเหมือนวัดทั่วไป
ที่อยู่โนะมะจิ 1-2-12 คะนะซะวะ 921-8031
โทรศัพท์+81-(0)76-241-0888
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 800 เยน/ นักเรียนประถม 600 เยน ต้องจองล่วงหน้า (ไม่อนุญาตให้เด็กทารกเข้าชม)
เวลาทำการ09:00-16:30 (9:00-16:00 พ.ย. - ก.พ.)
วันหยุดวันหยุดทางพุทธศาสนา, วันที่ 1 ม.ค., 16-20 ม.ค.
การเดินทางเดิน 5 นาทีจากป้ายรถบัสโฮะคุเท็ตซึ "ฮิโระโคะจิ"
ขอบคุณข้อมูลจาก :วิกิพีเดีย/talon Tour
Posted by mod at
12:51
│Comments(0)
2016年05月19日
์New Passport ของญี่ปุ่น
พาสปอร์ตของญี่ปุ่นในหน้าที่จะประทับตราตอนไปต่างประเทศหรือตอนกลับมาญี่ปุ่นนั้นจะมีรูปดอกซากุระของญี่ปุ่นเป็นพื้นอยู่ แต่บ่อยครั้งที่กระทรวงการต่างประเทศจะทำการเปลี่ยนรูปภาพเพื่อให้ไม่สามารถทำพาสปอร์ตปลอมได้

แล้วในครั้งต่อไปก็ได้กำหนดว่าจะการเปลี่ยนเป็นภาพ “ทัศนียภาพ 36 มุมของภูเขาฟูจิ” (冨嶽三十六景(ふがくさんじゅうろっけい) ซึ่งเป็นภาพชุดอุกิโยะ ภาพพิมพ์แกะไม้ โดยจิตรกรชาวญี่ปุ่น คะสึชิกะ โฮะกุไซ สมัยเอโดะ เป็นภาพภูเขาฟูจิในฤดูต่างๆ และในสภาวะอากาศต่างๆ ทั้งใกล้และไกล

แล้วก็เป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงมากที่มองภูเขาไฟฟูจิจากสถานที่ต่างๆ แล้ววาดออกมา ตัวอย่างภาพที่เลือกออกมาจะเป็น
1.凱風快晴(がいふうかいせい)Fine Wind, Clear Morning

2.江戸日本橋 (えいどにほんばし) Edo Nihonbashi

กระทรวงการต่างประเทศมีหมายกำหนดการที่จะทำเป็นพาสปอร์ตใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.ปี 2019 ต้องอดใจที่จะดูนานนิดนึงนะคะ

แล้วในครั้งต่อไปก็ได้กำหนดว่าจะการเปลี่ยนเป็นภาพ “ทัศนียภาพ 36 มุมของภูเขาฟูจิ” (冨嶽三十六景(ふがくさんじゅうろっけい) ซึ่งเป็นภาพชุดอุกิโยะ ภาพพิมพ์แกะไม้ โดยจิตรกรชาวญี่ปุ่น คะสึชิกะ โฮะกุไซ สมัยเอโดะ เป็นภาพภูเขาฟูจิในฤดูต่างๆ และในสภาวะอากาศต่างๆ ทั้งใกล้และไกล

แล้วก็เป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงมากที่มองภูเขาไฟฟูจิจากสถานที่ต่างๆ แล้ววาดออกมา ตัวอย่างภาพที่เลือกออกมาจะเป็น
1.凱風快晴(がいふうかいせい)Fine Wind, Clear Morning

2.江戸日本橋 (えいどにほんばし) Edo Nihonbashi

กระทรวงการต่างประเทศมีหมายกำหนดการที่จะทำเป็นพาสปอร์ตใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.ปี 2019 ต้องอดใจที่จะดูนานนิดนึงนะคะ
Posted by mod at
19:42
│Comments(0)
2016年05月17日
International Rose & Gardening Show ชมกุหลาบสวย
สวัสดีเช้าวันอังคารสีชมพูนะคะ วันนี้ตื่นมาอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ดูหดหู่เล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรคะ
วันนี้เราจะชมงานเกี่ยวกับดอกไม้กันนะคะ งานนี้เป็นงาน “International Rose & Gardening Show 「国際バラとガーデニングショウ」” ซึ่งเป็นงานพาชมดอกกุหลาบที่สวยงามแล้วก็การจัดสวนต่างๆ โดยปีนี้นับว่าเป็นครั้งที่ 18 แล้ว งานนี้จัดขึ้นที่จังหวัดไซตามะ โดยภายในบริเวณงานได้มีการประดับตกแต่งดอกกุหลาบกว่า 1 พันชนิดซึ่งรวมรวมมาจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในงาน งานนี้ตกแต่งด้วยดอกไม้ทั้งหมดกว่า 1 ล้านดอกกันเลยทีเดียว

ในปีนี้ธีมของงานคือนครปารีสแห่งประเทศฝรั่งเศส


ในงานจะมีสวนที่สวยงามที่ประดับตกแต่งด้วยกุหลาบหลากสีราวกับสวนดอกไม้ของพระนางโจเซฟินซึ่งเป็นจักรพรรดินีของจักรพรรดินโปเลียนที่ทรงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ตรงประตูทางเข้าจะมี Entrance Garden 0f Rose ที่ประดับตกแต่งดอกกุหลาบเลอค่าที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งต้อนรับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม แล้วเมื่อก้าวเข้าไปก็จะพบกับตรอกซอกซอยที่ประดับประดาดอกไม้และจัดแต่งสวนที่สวยงาม

เมื่อพูดถึงสวนของพระนางโจเซฟินแล้วก็ขอหยิบยกเรื่องราวนี้มากล่าวถึงสักเล็กน้อย “ในยุคสมัยของพระนางโจเซฟิน (Josephine) ปี ค.ศ. 1804 ราชินีของกษัตริย์นโปเลียนที่ 1 แห่งราชวงศ์ฝรั่งเศส พระองค์ทรงคลั่งไคล้ในเสนห์ของกุหลาบเป็นอันมาก ทรงพยายามรวบรวมสายพันธุ์กุหลาบไว้หลากหลายชนิด และทุ่มเงินสร้างสวนกุหลาบที่มาเลซอง (Malmaison) มีสายพันธุ์กุหลาบกว่า 250 สายพันธุ์ นอกจากนี้พระองค์ยังให้จิตรกรวาดภาพกุหลาบในสวนของพระองค์เองเป็นภาพสีน้ำ โดยจิตรกรชื่อปีแยร์ โจเซฟ เรอดูเต (Pierre Joseph Redoute) เชื่อกันว่ากุหลาบในสวนของพระนางโจเซฟิน เป็นบรรพบุรุษของกุหลาบในยุคปัจจุบัน กุหลาบในสมัยนั้นมักจะออกดอกแค่ปีละครั้ง และถาพวาดจิตรกรรมเหล่านั้นได้ถูกนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือกุหลาบ (Les Roses) ซึ่งคำว่ากุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เซีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดูมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเาเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก”
บทความจากหนังสือกุหลาบราชินีแห่งดอกไม้
โดย อาจารย์เศรษฐมันตร์ กาญจนกุล


นอกจากสวนและดอกกุหลาบแล้ว ภายในงานยังมีร้านขายขนมและสิ่งของที่ออกแบบเป็นดอกกุหลาบเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แล้วยังก็มีสถานที่ต่างๆ ราวกับเราได้เข้าไปอยู่ในนครปารีส

งาน “International Rose & Gardening Show นี้จะจัดจนถึงวันที่ 18 พ.ค.นี้ ที่ Seibu Prince Dome ที่อยู่ในเมืองโทโคโรซาว่า จังหวัดไซตามะ โดยเสียค่าเข้าชมประมาณ 2,200 เยนต่อคน ใครที่ชื่นชอบดอกกุหลาบและการจัดสวนสวยๆ ก็สามารถแวะไปชมกันได้นะคะ
วันนี้เราจะชมงานเกี่ยวกับดอกไม้กันนะคะ งานนี้เป็นงาน “International Rose & Gardening Show 「国際バラとガーデニングショウ」” ซึ่งเป็นงานพาชมดอกกุหลาบที่สวยงามแล้วก็การจัดสวนต่างๆ โดยปีนี้นับว่าเป็นครั้งที่ 18 แล้ว งานนี้จัดขึ้นที่จังหวัดไซตามะ โดยภายในบริเวณงานได้มีการประดับตกแต่งดอกกุหลาบกว่า 1 พันชนิดซึ่งรวมรวมมาจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในงาน งานนี้ตกแต่งด้วยดอกไม้ทั้งหมดกว่า 1 ล้านดอกกันเลยทีเดียว

ในปีนี้ธีมของงานคือนครปารีสแห่งประเทศฝรั่งเศส


ในงานจะมีสวนที่สวยงามที่ประดับตกแต่งด้วยกุหลาบหลากสีราวกับสวนดอกไม้ของพระนางโจเซฟินซึ่งเป็นจักรพรรดินีของจักรพรรดินโปเลียนที่ทรงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ตรงประตูทางเข้าจะมี Entrance Garden 0f Rose ที่ประดับตกแต่งดอกกุหลาบเลอค่าที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งต้อนรับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม แล้วเมื่อก้าวเข้าไปก็จะพบกับตรอกซอกซอยที่ประดับประดาดอกไม้และจัดแต่งสวนที่สวยงาม

เมื่อพูดถึงสวนของพระนางโจเซฟินแล้วก็ขอหยิบยกเรื่องราวนี้มากล่าวถึงสักเล็กน้อย “ในยุคสมัยของพระนางโจเซฟิน (Josephine) ปี ค.ศ. 1804 ราชินีของกษัตริย์นโปเลียนที่ 1 แห่งราชวงศ์ฝรั่งเศส พระองค์ทรงคลั่งไคล้ในเสนห์ของกุหลาบเป็นอันมาก ทรงพยายามรวบรวมสายพันธุ์กุหลาบไว้หลากหลายชนิด และทุ่มเงินสร้างสวนกุหลาบที่มาเลซอง (Malmaison) มีสายพันธุ์กุหลาบกว่า 250 สายพันธุ์ นอกจากนี้พระองค์ยังให้จิตรกรวาดภาพกุหลาบในสวนของพระองค์เองเป็นภาพสีน้ำ โดยจิตรกรชื่อปีแยร์ โจเซฟ เรอดูเต (Pierre Joseph Redoute) เชื่อกันว่ากุหลาบในสวนของพระนางโจเซฟิน เป็นบรรพบุรุษของกุหลาบในยุคปัจจุบัน กุหลาบในสมัยนั้นมักจะออกดอกแค่ปีละครั้ง และถาพวาดจิตรกรรมเหล่านั้นได้ถูกนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือกุหลาบ (Les Roses) ซึ่งคำว่ากุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เซีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดูมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเาเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก”
บทความจากหนังสือกุหลาบราชินีแห่งดอกไม้
โดย อาจารย์เศรษฐมันตร์ กาญจนกุล


นอกจากสวนและดอกกุหลาบแล้ว ภายในงานยังมีร้านขายขนมและสิ่งของที่ออกแบบเป็นดอกกุหลาบเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แล้วยังก็มีสถานที่ต่างๆ ราวกับเราได้เข้าไปอยู่ในนครปารีส

งาน “International Rose & Gardening Show นี้จะจัดจนถึงวันที่ 18 พ.ค.นี้ ที่ Seibu Prince Dome ที่อยู่ในเมืองโทโคโรซาว่า จังหวัดไซตามะ โดยเสียค่าเข้าชมประมาณ 2,200 เยนต่อคน ใครที่ชื่นชอบดอกกุหลาบและการจัดสวนสวยๆ ก็สามารถแวะไปชมกันได้นะคะ
Posted by mod at
11:44
│Comments(0)
2016年05月16日
หมามองเครื่องบิน
เมื่อวันก่อนได้เข้าไปอ่านข่าวใน Web NHK News ก็พบข่าวนี้ เป็นข่าวของมะหมา 4 ขาที่สร้างความปั่นป่วนให้กับสนามบิน ปกติที่ผ่านมาเคยได้ยินสำนวนว่า หมามองเครื่องบินมัยคะ แต่นี่เรียกว่ามองแบบระยะประชิดทีเดียว

เหตุเกิดที่สนามบินฮาเนดะของกรุงโตเกียว โดยในวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้พบสุนัข 4 ตัวมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ บริเวณรันเวย์สนามบินฮาเนดะของกรุงโตเกียว ทำให้เครื่องบินต้องดีเลย์ถึง 10 เที่ยวบิน
แล้ววันที่ 12 พ.ค.ก็ได้เข้ามาในบริเวณรันเวย์อีก 2 ครั้ง ทำให้เครื่องบินต้องดีเลย์ไปอีก 7 เที่ยวบิน แล้วยังทำให้เครื่องบิน 1 ลำต้องมุ่งหน้าไปยังสนามบินอื่นอีกด้วย ร้ายจริงๆ นะจ๊ะ

แล้วในที่สุดก็สามารถจับสุนัขได้ 3 ตัวจากทั้งหมด 4 ตัว แต่อีก 1 ตัวก็ยังไม่สามารถจับได้แม้จะเป็นช่วงเที่ยงของวันที่ 13 พ.ค.แล้วก็ตาม
สุนัขทั้ง 4 ตัวเป็นสุนัขสีขาว แล้ว 1 ในสุนัขที่จับได้นั้นก็ไม่มีปลอกคอ
บริเวณรอบๆ สนามบินฮาเนดะมีรั้วสูงถึง 3 เมตร แล้วที่บริเวณรั้วก็ยังมีการติดเซนเซอร์ไว้อีกด้วย และประตูทางเข้าก็ยังมีคนรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงด้วย
บริษัทสนามบินได้กล่าวว่ามีความเป็นได้ค่อนข้างต่ำที่สุนัขจะหนีออกมาจากเครื่องบิน สนามบินฮาเนดะกำลังตรวจสอบว่าสุนัขเข้ามาในสถานบินได้อย่างไร?
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก NHK News นะคะ

เหตุเกิดที่สนามบินฮาเนดะของกรุงโตเกียว โดยในวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้พบสุนัข 4 ตัวมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ บริเวณรันเวย์สนามบินฮาเนดะของกรุงโตเกียว ทำให้เครื่องบินต้องดีเลย์ถึง 10 เที่ยวบิน
แล้ววันที่ 12 พ.ค.ก็ได้เข้ามาในบริเวณรันเวย์อีก 2 ครั้ง ทำให้เครื่องบินต้องดีเลย์ไปอีก 7 เที่ยวบิน แล้วยังทำให้เครื่องบิน 1 ลำต้องมุ่งหน้าไปยังสนามบินอื่นอีกด้วย ร้ายจริงๆ นะจ๊ะ

แล้วในที่สุดก็สามารถจับสุนัขได้ 3 ตัวจากทั้งหมด 4 ตัว แต่อีก 1 ตัวก็ยังไม่สามารถจับได้แม้จะเป็นช่วงเที่ยงของวันที่ 13 พ.ค.แล้วก็ตาม
สุนัขทั้ง 4 ตัวเป็นสุนัขสีขาว แล้ว 1 ในสุนัขที่จับได้นั้นก็ไม่มีปลอกคอ
บริเวณรอบๆ สนามบินฮาเนดะมีรั้วสูงถึง 3 เมตร แล้วที่บริเวณรั้วก็ยังมีการติดเซนเซอร์ไว้อีกด้วย และประตูทางเข้าก็ยังมีคนรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงด้วย
บริษัทสนามบินได้กล่าวว่ามีความเป็นได้ค่อนข้างต่ำที่สุนัขจะหนีออกมาจากเครื่องบิน สนามบินฮาเนดะกำลังตรวจสอบว่าสุนัขเข้ามาในสถานบินได้อย่างไร?
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก NHK News นะคะ
Posted by mod at
17:48
│Comments(0)
2016年05月11日
地震 แผ่นดินไหว
เมื่อวานได้เข้าไปอ่านข่าวใน web NHK เห็นภาพข่าวน่ารักและมีประโยชน์ ดูแล้วเข้าใจง่าย ก็เลยอยากเอามาถ่ายทอดให้รู้กันค่ะ อย่างที่เรารู้ๆ กันดีอยู่ว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อย แล้วพวกเราคนไทยก็นิยมไปเที่ยวกันเยอะด้วย เผื่อช่วงที่เราไปเที่ยวเกิดแผ่นดินไหว เราจะได้เตรียมพร้อมรับมือกันได้ถูกต้องนะคะ

ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่บ้าน

ถ้าเกิดแผ่นดินไหวตอนที่เราอยู่บ้านหรืออยู่ภายในตัวอาคาร ให้เราเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะแล้วรอจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุด เพราะว่าสิ่งของที่อยู่ด้านบนอาจตกลงมา หรือพวกเครื่องเรือนอย่างเช่นตู้หนังสืออาจล้มใส่ทำให้เกิดอันตรายได้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวตอนที่เราใช้เตาไฟหรือกำลังทำอาหารอยู่ ให้ปิดไฟหลังจากที่การสั่นสะเทือนได้หยุดลง ถ้าเราปิดไฟขณะที่เกิดการสั่นสะเทือนอยู่ อาจเกิดอันตรายจากไฟลวกได้

แล้วก็ตอนที่จะหนีออกจากบ้านให้สับสวิตช์เบรกเกอร์ปิดเพื่อจะได้ตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้มีการไหล ตอนที่เกิดแผ่นไหวขนาดใหญ่อาจเกิดไฟฟ้าดับได้ ถ้าเราไม่สับสวิตช์เบรกเกอร์ปิดล่ะก็ ตอนที่ไฟฟ้ากลับมาติดใหม่แล้ว พวกเครื่องทำความร้อนจะทำงานอัตโนมัติ อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
ถ้าเกิดแผ่นดินไหวตอนอยู่นอกบ้าน

ถ้าเกิดเราอยู่ใกล้ๆ กับตึกสูง อาจเกิดอันตรายจากกระจกหน้าต่างหรือป้ายต่างๆ ล้มหรือตกใส่ได้ ให้เราใช้อย่างเช่นกระเป๋าบังศีรษะไว้ขณะที่ไปหาสถานที่หลบที่ปลอดภัย ถ้าเป็นถนนเส้นแคบๆ อาจเกิดอันตรายจากกำแพงที่สร้างด้วยอิฐบล็อกหรือตู้ขายของอัตโนมัติที่ล้มได้ง่ายล้มใส่ได้ด้วย แล้วก็บริเวณทางลาดชัดหรือหน้าผาอาจถล่มลงมาได้ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว ถ้าอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นให้รีบหนีออกมาโดยเร็ว

ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขณะที่เราขับรถอยู่ ให้ขับรถช้าๆ เข้าไปจอดที่ด้านซ้ายมือ แล้วดับเครื่องยนต์ ในกรณีที่ลงจากรถเพื่อหนีล่ะก็ กรุณาอย่าล็อคประตูรถและให้เสียบกุญแจรถทิ้งไว้ ในกรณีที่รถเราไปขวางทางรถพยาบาล จะได้ขยับรถได้ในทันที (ถ้าเป็นประเทศไทย คงทำไม่ได้ รถอาจหายได้)
ในกรณีที่เราไม่อาจจะกลับบ้านหรือที่พักได้
ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ รถไฟฟ้าและรถประจำทางอาจหยุดวิ่งได้ ในตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ตอนปี 2011 นั้นคนมากกว่า 5 ล้านคนอย่างเช่นที่โตเกียวกลับบ้านไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนั้น กรุณาอย่ารีบกลับบ้าน ให้ไปรอดูเหตุการณ์สักพักที่สถานที่ปลอดภัยอย่างเช่นบริษัทหรือโรงเรียน ถ้าคนจำนวนมากต่างพากันกลับบ้านพร้อมๆ กันในเวลาเดียว อาจเกิดอันตรายจากการที่คนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่บนท้องถนนหรือที่สถานีรถไฟได้ ให้รอฟังการสรุปสถานการณ์ที่ถูกต้องจากวิทยุหรือโทรทัศน์ว่าปลอดภัยดีแล้วหรือยัง แล้วค่อยทยอยกันกลับบ้าน เพราะว่าตามบริษัทหรือตามโรงเรียนจะมีบริการน้ำและอาหารให้อย่างครบครัน
แล้วในตอนนั้นการเชื่อมต่อโทรศัพท์จะทำได้ยาก
ตอนที่เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ คนจำนวนมากจะโทรศัพท์พร้อมๆ กัน ทำให้การเชื่อมต่อโทรศัพท์นั้นยาก ดังนั้นตอนที่เกิดเหตุร้ายขนาดใหญ่ จะสามารถใช้หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน หรือ 「災害(さいがい)用(よう)伝言(でんごん)ダイヤル」ได้ ให้โทรไปที่หมายเลข 171 แล้วฝากข้อความไว้ จะสามารถเปิดฟังเสียงได้

บริษัทโทรศัพท์มือถือก็จะมีบริการเช่นเดียวกันนี้ด้วยในที่ชื่อว่า “ช่องฝากข้อความฉุกเฉิน” ตอนที่เกิดภัยพิบัติอย่างเช่นแผ่นดินไหว ในช่องส่งข้อความจะเชื่อมต่อได้ง่ายกว่าการโทรศัพท์ ในกรณีนี้พวก SNS อย่างเช่น twitter ก็มีประโยชน์ด้วย ให้พวกเราลองเตรียมวิธีการใช้เครื่องมือเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวจะดีกว่านะคะ
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพจาก NHK World

ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่บ้าน

ถ้าเกิดแผ่นดินไหวตอนที่เราอยู่บ้านหรืออยู่ภายในตัวอาคาร ให้เราเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะแล้วรอจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุด เพราะว่าสิ่งของที่อยู่ด้านบนอาจตกลงมา หรือพวกเครื่องเรือนอย่างเช่นตู้หนังสืออาจล้มใส่ทำให้เกิดอันตรายได้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวตอนที่เราใช้เตาไฟหรือกำลังทำอาหารอยู่ ให้ปิดไฟหลังจากที่การสั่นสะเทือนได้หยุดลง ถ้าเราปิดไฟขณะที่เกิดการสั่นสะเทือนอยู่ อาจเกิดอันตรายจากไฟลวกได้

แล้วก็ตอนที่จะหนีออกจากบ้านให้สับสวิตช์เบรกเกอร์ปิดเพื่อจะได้ตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้มีการไหล ตอนที่เกิดแผ่นไหวขนาดใหญ่อาจเกิดไฟฟ้าดับได้ ถ้าเราไม่สับสวิตช์เบรกเกอร์ปิดล่ะก็ ตอนที่ไฟฟ้ากลับมาติดใหม่แล้ว พวกเครื่องทำความร้อนจะทำงานอัตโนมัติ อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
ถ้าเกิดแผ่นดินไหวตอนอยู่นอกบ้าน

ถ้าเกิดเราอยู่ใกล้ๆ กับตึกสูง อาจเกิดอันตรายจากกระจกหน้าต่างหรือป้ายต่างๆ ล้มหรือตกใส่ได้ ให้เราใช้อย่างเช่นกระเป๋าบังศีรษะไว้ขณะที่ไปหาสถานที่หลบที่ปลอดภัย ถ้าเป็นถนนเส้นแคบๆ อาจเกิดอันตรายจากกำแพงที่สร้างด้วยอิฐบล็อกหรือตู้ขายของอัตโนมัติที่ล้มได้ง่ายล้มใส่ได้ด้วย แล้วก็บริเวณทางลาดชัดหรือหน้าผาอาจถล่มลงมาได้ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว ถ้าอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นให้รีบหนีออกมาโดยเร็ว

ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขณะที่เราขับรถอยู่ ให้ขับรถช้าๆ เข้าไปจอดที่ด้านซ้ายมือ แล้วดับเครื่องยนต์ ในกรณีที่ลงจากรถเพื่อหนีล่ะก็ กรุณาอย่าล็อคประตูรถและให้เสียบกุญแจรถทิ้งไว้ ในกรณีที่รถเราไปขวางทางรถพยาบาล จะได้ขยับรถได้ในทันที (ถ้าเป็นประเทศไทย คงทำไม่ได้ รถอาจหายได้)
ในกรณีที่เราไม่อาจจะกลับบ้านหรือที่พักได้
ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ รถไฟฟ้าและรถประจำทางอาจหยุดวิ่งได้ ในตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ตอนปี 2011 นั้นคนมากกว่า 5 ล้านคนอย่างเช่นที่โตเกียวกลับบ้านไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนั้น กรุณาอย่ารีบกลับบ้าน ให้ไปรอดูเหตุการณ์สักพักที่สถานที่ปลอดภัยอย่างเช่นบริษัทหรือโรงเรียน ถ้าคนจำนวนมากต่างพากันกลับบ้านพร้อมๆ กันในเวลาเดียว อาจเกิดอันตรายจากการที่คนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่บนท้องถนนหรือที่สถานีรถไฟได้ ให้รอฟังการสรุปสถานการณ์ที่ถูกต้องจากวิทยุหรือโทรทัศน์ว่าปลอดภัยดีแล้วหรือยัง แล้วค่อยทยอยกันกลับบ้าน เพราะว่าตามบริษัทหรือตามโรงเรียนจะมีบริการน้ำและอาหารให้อย่างครบครัน
แล้วในตอนนั้นการเชื่อมต่อโทรศัพท์จะทำได้ยาก
ตอนที่เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ คนจำนวนมากจะโทรศัพท์พร้อมๆ กัน ทำให้การเชื่อมต่อโทรศัพท์นั้นยาก ดังนั้นตอนที่เกิดเหตุร้ายขนาดใหญ่ จะสามารถใช้หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน หรือ 「災害(さいがい)用(よう)伝言(でんごん)ダイヤル」ได้ ให้โทรไปที่หมายเลข 171 แล้วฝากข้อความไว้ จะสามารถเปิดฟังเสียงได้

บริษัทโทรศัพท์มือถือก็จะมีบริการเช่นเดียวกันนี้ด้วยในที่ชื่อว่า “ช่องฝากข้อความฉุกเฉิน” ตอนที่เกิดภัยพิบัติอย่างเช่นแผ่นดินไหว ในช่องส่งข้อความจะเชื่อมต่อได้ง่ายกว่าการโทรศัพท์ ในกรณีนี้พวก SNS อย่างเช่น twitter ก็มีประโยชน์ด้วย ให้พวกเราลองเตรียมวิธีการใช้เครื่องมือเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวจะดีกว่านะคะ
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพจาก NHK World
Posted by mod at
14:12
│Comments(0)
2016年05月10日
ความรักการอ่านหนังสือของสังคมญี่ปุ่น
เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ฉันได้นั่งรถไฟฟ้าไปทำธุระ ตอนช่วงบ่ายๆ ของวันหยุดคนจะแน่นมาก พอถึงสถานีหนึ่งก็มีผู้หญิงกับเด็กขึ้นรถไฟฟ้ามา ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งลุกให้เด็กนั่ง ทั้งที่สัมภาระเขาก็เยอะ แถมอ่านหนังสือด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นคนชาติอะไร?

เขาก็คนญี่ปุ่นนั่นเอง เพราะถ้าใครเคยไปญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ ภาพที่เห็นชินตา คือชาวญี่ปุ่นที่ใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือ พวกเขาเหล่านั้นล้วนกำลังมีความสุขในการอ่านหนังสือ ในขณะที่กำลังเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งฉันว่าต่างจากคนไทยมากเลย คนไทยเราอ่านหนังสือกันน้อยมาก อย่างอยู่บนรถไฟฟ้าหรืออยู่บนรถสาธารณะก็มักจะนั่งเหม่อลอยมองวิวข้างทาง หรือก็คุยโทรศัพท์หรือส่งไลน์กันให้วุ่นวายกันไปหมด


สถิติการอ่านหนังสือของคนไทย เฉลี่ยแล้วอ่านคนละ 2 เล่มต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ต่างกับคนญี่ปุ่นที่อ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 40-50 เล่มต่อปีเลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่าการอ่านหนังสือสำหรับคนญี่ปุ่นนั้นได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เราจะเห็นว่าเด็กญี่ปุ่นเติบโตมากับหนังสือตั้งแต่การอ่านการ์ตูนมังงะ ที่มีภาพประกอบซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กอยากอ่านหนังสือมากขึ้น และอีกทั้งมีเนื้อหาที่สนุกสนาน และก็กลายเป็นนิสัยติดตัวชาวญี่ปุ่นมาจนโต เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นละทิ้งการอ่านหนังสือเลย หากเราได้ไปเดินตามร้านหนังสือในญี่ปุ่น เราก็จะได้เห็นถึงความหลากหลายของหนังสือทุกแบบ ทุกกลุ่มวัยวางไว้ต้อนรับผู้มาเยือน นอกจากนั้นยังมีระบบการค้นหาหนังสือที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อเป็นอย่างดี โดยทางร้านจะมีเครื่องสำหรับค้นหาหนังสือ ผู้ซื้อสามารถจะค้นหาได้จาก ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง หรือหมายเลข ISBN ของหนังสือเล่มนั้นๆ ที่ผู้ซื้อต้องการ เมื่อเราใส่ข้อมูลที่ต้องการค้นหาแล้วเครื่องก็จะบอกว่าหนังสือนั้นมีรายละเอียดของผู้แต่ง ราคา วันผลิต และจะบอกว่าหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงส่วนไหนของร้าน ช่างสะดวกสบายเสียเหลือเกิน

ภายในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่นอกจากจะให้บริการเล่นอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็ยังมีหนังสือให้เช่าอ่านอีกด้วย มีหนังสือให้เลือกสรรหลายต่อหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งถ้าเป็นที่เมืองไทยเวลาเช่าหนังสือต้องเอากลับไปอ่านที่บ้าน แต่ที่ญี่ปุ่นสามารถเช่าอ่านในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ได้เลย โดยอ่านกี่เล่มก็ได้เพราะเค้าคิดค่าเช่าเป็นชั่วโมง หากอ่านหนังสือแล้วรู้สึกหิวก็จะมีกาแฟ มีขนมหรือจะทานอาหารก็มีให้บริการเหมือนกัน ถือเป็นบริการที่ครบวงจรจริงๆ ซึ่งที่ญี่ปุ่นจะมีร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แบบนี้ไม่ต่ำกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ

แล้วที่ญี่ปุ่นก็ยังมีการจัดงานที่เรียกว่า “読書週間(どくしょしゅうかん) สัปดาห์แห่งการอ่านหนังสือของญี่ปุ่น” ด้วย พอฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน สิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนึกถึงคือ " การอ่านหนังสือ " การส่งเสริมการอ่านหนังสือเป็นนโยบายทางการศึกษาที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณอย่างเต็มที่ เช่น การพัฒนาห้องสมุดของโรงเรียน ห้องสมุดชุมชน อีกทั้งยังมีการรวมตัวกันขององค์กรภาคเอกชนจัดตั้ง สภาส่งเสริมการอ่านหนังสือแห่งประเทศญี่ปุ่น 読書推進運動協議会 ปลูกฝังนิสัย " รักการอ่าน" ให้แก่เยาวชน จัดทำหนังสือที่มีความรู้ทุกแขนงให้เป็นการ์ตูนเพื่อให้เด็กสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการอ่านหนังสือ

ตอนฉันอยู่ที่ญี่ปุ่นก็มักจะไปซื้อหนังสืออ่านบ่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นการ์ตูน ตอนนั้นฉันเองก็สงสัยว่าทำไมคนญี่ปุ่น ชอบห่อปกหนังสือ โดยใช้กระดาษน้ำตาล หรือ กระดาษทึบ ปิดหน้าปกเอาไว้ แล้วฉันก็ได้คำตอบมาว่า เพราะคนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับคำว่า Privacy อย่างมาก ทุกคนจะห่อปกกระดาษนั่งอ่านบนรถไฟโดยไม่ต้องสนใจว่าใครอ่านหนังสืออะไร เพราะฉะนั้นเวลาซื้อหนังสือทางร้านจะถามว่าจะให้ห่อปกไหม? ถ้าบอกให้ห่อก็จะเป็นปกกระดาษสีน้ำตาลตุ่นๆเหมือนกันหมด
แล้วการอ่านหนังสือก็ยังบ่งบอกรสนิยมของผู้อ่านเช่นเดียวกับการกินอาหาร การอ่านหนังสือ ก็คือการให้อาหารสมองเช่นเดียวกัน แล้ววันนี้...เพื่อน ๆ อ่านหนังสือกันหรือยังคะ

เขาก็คนญี่ปุ่นนั่นเอง เพราะถ้าใครเคยไปญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ ภาพที่เห็นชินตา คือชาวญี่ปุ่นที่ใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือ พวกเขาเหล่านั้นล้วนกำลังมีความสุขในการอ่านหนังสือ ในขณะที่กำลังเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งฉันว่าต่างจากคนไทยมากเลย คนไทยเราอ่านหนังสือกันน้อยมาก อย่างอยู่บนรถไฟฟ้าหรืออยู่บนรถสาธารณะก็มักจะนั่งเหม่อลอยมองวิวข้างทาง หรือก็คุยโทรศัพท์หรือส่งไลน์กันให้วุ่นวายกันไปหมด


สถิติการอ่านหนังสือของคนไทย เฉลี่ยแล้วอ่านคนละ 2 เล่มต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ต่างกับคนญี่ปุ่นที่อ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 40-50 เล่มต่อปีเลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่าการอ่านหนังสือสำหรับคนญี่ปุ่นนั้นได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เราจะเห็นว่าเด็กญี่ปุ่นเติบโตมากับหนังสือตั้งแต่การอ่านการ์ตูนมังงะ ที่มีภาพประกอบซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กอยากอ่านหนังสือมากขึ้น และอีกทั้งมีเนื้อหาที่สนุกสนาน และก็กลายเป็นนิสัยติดตัวชาวญี่ปุ่นมาจนโต เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นละทิ้งการอ่านหนังสือเลย หากเราได้ไปเดินตามร้านหนังสือในญี่ปุ่น เราก็จะได้เห็นถึงความหลากหลายของหนังสือทุกแบบ ทุกกลุ่มวัยวางไว้ต้อนรับผู้มาเยือน นอกจากนั้นยังมีระบบการค้นหาหนังสือที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อเป็นอย่างดี โดยทางร้านจะมีเครื่องสำหรับค้นหาหนังสือ ผู้ซื้อสามารถจะค้นหาได้จาก ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง หรือหมายเลข ISBN ของหนังสือเล่มนั้นๆ ที่ผู้ซื้อต้องการ เมื่อเราใส่ข้อมูลที่ต้องการค้นหาแล้วเครื่องก็จะบอกว่าหนังสือนั้นมีรายละเอียดของผู้แต่ง ราคา วันผลิต และจะบอกว่าหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงส่วนไหนของร้าน ช่างสะดวกสบายเสียเหลือเกิน
ภายในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่นอกจากจะให้บริการเล่นอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็ยังมีหนังสือให้เช่าอ่านอีกด้วย มีหนังสือให้เลือกสรรหลายต่อหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งถ้าเป็นที่เมืองไทยเวลาเช่าหนังสือต้องเอากลับไปอ่านที่บ้าน แต่ที่ญี่ปุ่นสามารถเช่าอ่านในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ได้เลย โดยอ่านกี่เล่มก็ได้เพราะเค้าคิดค่าเช่าเป็นชั่วโมง หากอ่านหนังสือแล้วรู้สึกหิวก็จะมีกาแฟ มีขนมหรือจะทานอาหารก็มีให้บริการเหมือนกัน ถือเป็นบริการที่ครบวงจรจริงๆ ซึ่งที่ญี่ปุ่นจะมีร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แบบนี้ไม่ต่ำกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ

แล้วที่ญี่ปุ่นก็ยังมีการจัดงานที่เรียกว่า “読書週間(どくしょしゅうかん) สัปดาห์แห่งการอ่านหนังสือของญี่ปุ่น” ด้วย พอฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน สิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนึกถึงคือ " การอ่านหนังสือ " การส่งเสริมการอ่านหนังสือเป็นนโยบายทางการศึกษาที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณอย่างเต็มที่ เช่น การพัฒนาห้องสมุดของโรงเรียน ห้องสมุดชุมชน อีกทั้งยังมีการรวมตัวกันขององค์กรภาคเอกชนจัดตั้ง สภาส่งเสริมการอ่านหนังสือแห่งประเทศญี่ปุ่น 読書推進運動協議会 ปลูกฝังนิสัย " รักการอ่าน" ให้แก่เยาวชน จัดทำหนังสือที่มีความรู้ทุกแขนงให้เป็นการ์ตูนเพื่อให้เด็กสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการอ่านหนังสือ

ตอนฉันอยู่ที่ญี่ปุ่นก็มักจะไปซื้อหนังสืออ่านบ่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นการ์ตูน ตอนนั้นฉันเองก็สงสัยว่าทำไมคนญี่ปุ่น ชอบห่อปกหนังสือ โดยใช้กระดาษน้ำตาล หรือ กระดาษทึบ ปิดหน้าปกเอาไว้ แล้วฉันก็ได้คำตอบมาว่า เพราะคนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับคำว่า Privacy อย่างมาก ทุกคนจะห่อปกกระดาษนั่งอ่านบนรถไฟโดยไม่ต้องสนใจว่าใครอ่านหนังสืออะไร เพราะฉะนั้นเวลาซื้อหนังสือทางร้านจะถามว่าจะให้ห่อปกไหม? ถ้าบอกให้ห่อก็จะเป็นปกกระดาษสีน้ำตาลตุ่นๆเหมือนกันหมด
แล้วการอ่านหนังสือก็ยังบ่งบอกรสนิยมของผู้อ่านเช่นเดียวกับการกินอาหาร การอ่านหนังสือ ก็คือการให้อาหารสมองเช่นเดียวกัน แล้ววันนี้...เพื่อน ๆ อ่านหนังสือกันหรือยังคะ
Posted by mod at
13:02
│Comments(0)
2016年05月09日
วันพืชมงคล 農耕祭
วันนี้วันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันพืชมงคล หากเอ่ยชื่อ วันพืชมงคล ภาษาอังกฤษ Royal Ploughing Ceremony ส่วนภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 農耕祭(のうこうさい) วันนี้ถือว่าเป็นวันหยุดราชการ ที่หลายๆ คนอาจได้หยุดพักผ่อนอยู่บ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วบริษัทเอกชนทั่วไปมักจะไม่หยุดงานกัน
เราลองว่าดูความหมายและความเป็นมาของวันพืชมงคลกันดีกว่าค่ะ เผื่อต้องอธิบายให้เพื่อนต่างชาติฟัง.....

วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี
พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว
วันพืชมงคลนั้นสามารถแปลแบบง่าย ๆ ได้ว่า 農耕祭(のうこうさい)
農(のう) = เกษตรกรรม กสิกรรม การทำนา
耕(こう) หรือ 耕(たがや)す = การไถนา
祭(さい) หรือ (まつり) = เทศกาล
หรือบางคนก็แปลว่า 始耕祭(しこうさい)โดยคำว่า 始(し) หรือ 始(はじ)める = การเริ่มต้น หรือใกล้เคียงกับคำว่า "แรกนาขวัญ"
ในเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นก็จะได้ประมาณนี้ค่ะ
タイ王国王室による田植え儀式。農耕祭(วันพืชมงคล)で祝日になります。この祝日は、毎年, 占星術により5月の何日になるのかを決めるとのこと。農民の日としても祝うようなので、タイ王室から“種もみ”が無料で配布されるようです。
バンコクの王宮前広場で行われる。タイ王国中の農民が祝福を受ける式典の日。農民の日として祝われる。毎年、占星術によって日にちが決定され、タイ王国宮内庁官報で公告される。 正式名はวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ。
本日は、バンコクの王宮前広場で、ワチラロンコン皇太子によるタイ王室の田植えの儀式「プートモンコン(農耕祭)」が行われた。2頭の聖なる牛が盆に乗せた玄米、とうもろこし、豆、ゴマ、草、水、酒から何を選ぶかによって、その年の作物の出来を占うもので、今年は豊作で水に恵まれるという。

ปี 2559 นี้พระโคกินข้าว ข้าวโพด งา ธัญญาหาร ผลาหาร บริบูรณ์ กินน้ำ น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร กินเหล้า การคมนาคมจะสะดวกขึ้น ค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง ...

今年は牛が米、とうもろこし、豆、ゴマを食べました。水と酒を飲みました。外国の営業がよくなると思います。経済がよくなると思います。
เราลองว่าดูความหมายและความเป็นมาของวันพืชมงคลกันดีกว่าค่ะ เผื่อต้องอธิบายให้เพื่อนต่างชาติฟัง.....

วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี
พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว
วันพืชมงคลนั้นสามารถแปลแบบง่าย ๆ ได้ว่า 農耕祭(のうこうさい)
農(のう) = เกษตรกรรม กสิกรรม การทำนา
耕(こう) หรือ 耕(たがや)す = การไถนา
祭(さい) หรือ (まつり) = เทศกาล
หรือบางคนก็แปลว่า 始耕祭(しこうさい)โดยคำว่า 始(し) หรือ 始(はじ)める = การเริ่มต้น หรือใกล้เคียงกับคำว่า "แรกนาขวัญ"
ในเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นก็จะได้ประมาณนี้ค่ะ
タイ王国王室による田植え儀式。農耕祭(วันพืชมงคล)で祝日になります。この祝日は、毎年, 占星術により5月の何日になるのかを決めるとのこと。農民の日としても祝うようなので、タイ王室から“種もみ”が無料で配布されるようです。
バンコクの王宮前広場で行われる。タイ王国中の農民が祝福を受ける式典の日。農民の日として祝われる。毎年、占星術によって日にちが決定され、タイ王国宮内庁官報で公告される。 正式名はวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ。
本日は、バンコクの王宮前広場で、ワチラロンコン皇太子によるタイ王室の田植えの儀式「プートモンコン(農耕祭)」が行われた。2頭の聖なる牛が盆に乗せた玄米、とうもろこし、豆、ゴマ、草、水、酒から何を選ぶかによって、その年の作物の出来を占うもので、今年は豊作で水に恵まれるという。

ปี 2559 นี้พระโคกินข้าว ข้าวโพด งา ธัญญาหาร ผลาหาร บริบูรณ์ กินน้ำ น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร กินเหล้า การคมนาคมจะสะดวกขึ้น ค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง ...

今年は牛が米、とうもろこし、豆、ゴマを食べました。水と酒を飲みました。外国の営業がよくなると思います。経済がよくなると思います。
Posted by mod at
17:30
│Comments(0)