インバウンドでタイ人を集客! 事例多数で万全の用意 [PR]
ナムジャイブログ
ブログポータルサイト「ナムジャイ.CC」 › 日本が好き › 2016年03月

【PR】

本広告は、一定期間更新の無いブログにのみ表示されます。
ブログ更新が行われると本広告は非表示となります。
  

Posted by namjai at

2016年03月17日

黒板ジャック บุกยึดกระดานดำ

สวัสดีค่ะ วันนี้ก็วันพฤหัสแล้ว อีก 1 วันก็จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แล้ว ปกติวันหยุดสุดสัปดาห์ทำอะไรกันบ้างคะ สำหรับฉันก็จะเตรียมการสอนบ้าง ออกไปทานข้าวกับเพื่อนบ้าง





แต่สำหรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย Mushino Art University ที่โตเกียว มีโปรเจคที่มีชื่อว่า 「黒板ジャック」(Kokuban Jyaku) คำว่า “kokuban” แปลว่ากระดานดำ ส่วนคำว่า “Jyaku” ฉันเดาว่าน่าจะมาจากคำว่า “Hijack” นะคะ เพราะว่าโปรเจคนี้เหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้จะเข้าไปในโรงเรียนมัธยมต้นต่างๆ ในวันเสาร์และวันอาทิตย์เพื่อจะวาดภาพศิลปะขนาดใหญ่บนกระดานดำด้วยชอล์กสีในห้องเรียน พวกเขาคิดริเริ่มทำโครงการนี้ก็เพื่ออยากจะให้เด็กๆ ได้สัมผัสถึงเสน่ห์และหันมาให้ความสนใจกับศิลปะ









พอพวกเด็กๆ มาโรงเรียนในเช้าวันจันทร์แล้วมาพบกับภาพวาดขนาดใหญ่บนกระดานดำก็จะรู้สึกตกใจ และตื่นเต้นกันมากเลยทีเดียว

โดยในตอนนี้โรงเรียนมัธยมต้น Fukuchiyama ในจังหวัดเกียวโตก็ให้ความร่วมมืออย่างดี แล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ที่ผ่านมา เหล่านักศึกษาก็ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงในการวาดภาพขนาดใหญ่ลงบนกระดานดำ เป็นภาพกบที่โผล่หน้าออกมาจากป่า และภาพของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส พอถึงเช้าวันจันทร์ที่ 14 นักเรียนมัธยมมาโรงเรียนโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอเข้ามาในห้องก็ถึงกับประหลาดใจและตื่นเต้นกันมาก แล้วต่างพูดคุยกันถึงภาพบนกระดานดำอย่างสนุกสนาน ทำให้เหล่านักศึกษาที่มองดูอยู่นั้นต่างดีใจและได้รับกำลังใจเป็นอย่างมาก



Fuki Musashino ซึ่งเป็น 1 ในนักศึกษาถึงกับเอ่ยปากว่า “พอได้เห็นพวกนักเรียนมัธยมต้นพูดคุยกันเกี่ยวกับภาพ ก็คิดว่าโครงการนี้ไปได้สวยเลยทีเดียว”

ส่วนนักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่งได้พูดให้ฟังว่า “เป็นภาพที่แปลกและน่าสนใจมาก แล้วก็จินตนาการไปว่าถ้าผมได้เข้าไปอยู่ในภาพนั้นจะรู้สึกอย่างน้า”
ช่างเป็นโครงการที่ดีมากเลยทีเดียวนะคะ ช่วยจุดประกายความฝันและจินตนาการของเด็กๆ และสร้างแรงบันดาลใจได้ดีมากเลยค่ะ

ถ้าใครสนใจอยากชมภาพต่างๆ ก็สามารถเข้าไปชมได้ในลิงค์ด้านล่างนี้นะคะ
https://www.youtube.com/watch?v=7dPvLAE9hKU

ส่วนใครที่สนใจจะเข้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลรายละเอียดได้ตามลิงค์นี้ค่ะ
http://www.jpss.jp/th/search/  

Posted by mod at 17:38Comments(0)

2016年03月16日

From 5 to 9

สวัสดีค่ะ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ดูซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง “ 5→9~私に恋したイケメンすぎるお坊さん~” ( 5→9: Watashi ni Koi Shita Ikemen Sugiru Obousan / 5-ji Kara 9-ji Made) นำแสดงโดย ยามาชิตะ โทโมฮิสะ (ยามะพี *กรี๊ด พระเอกสุดหล่อของฉัน) และ อิชิฮาระ ซาโตมิ




เป็นเรื่องราวของอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่ยังไม่มีแฟน แม้จะอายุ 29 ปีเข้าไปแล้ว เธอมีฝันที่อยากจะไปทํางานในนิวยอร์ก ในวันหนึ่ง เธอได้พบกับพระรูปหล่อในพิธีศพ แต่ว่าสถานการณ์กลับแย่สุดๆ เพราะว่าเธอนั่งนานจึงทำให้ขาเป็นเหน็บ พอลุกขึ้นมาเลยเสียศูนย์ จึงเดินเซไปชนโต๊ะทำให้โถใส่เถ้ากระดูกเทหกใส่พระรูปหล่อเข้าเต็มๆ ในขณะที่กําลังสวดมนต์อยู่ แม้จุนโกะจะคิดว่า คงไม่มีทางได้พบกันอีกแน่ แต่โชคชะตาก็ได้นําพา เมื่อพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายนัดจับคู่กันดูตัว และฝั่งผู้ชายก็คือพระรูปหล่อ โฮชิคาวะ ทาคาเนะ (Yamashita Tomohisa)


ขณะสวดมนต์อยู่


แล้วก็มีโถใส่เถ้ากระดูกลอยมา


สภาพก็ออกมาเช่นนี้แหละค่ะ (โถ น่าสงสารจัง พระเอกของฉัน)

แล้วก็มีอยู่ฉากหนึ่งที่พระรูปหล่อทาคาเนะ ได้รับการนิมนต์ไปทำพิธีงานทำบุญครบรอบวันตายของคุณย่าของนางเอก ก็เลยนึกสงสัยว่ามารยาทในการนิมนต์พระไปประกอบพิธีนั้นต้องทำอย่างไร มีค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ก็เลยลองหาข้อมูลมาเผื่อจะมีคนสนใจอยากรู้เหมือนฉันค่ะ

งานศพและงานทำบุญครบรอบ....







เงินทำบุญกับข้อควรระวัง
ควรแสดงความขอบคุณต่อพระสงฆ์หรือบาทหลวงหรือผู้เกี่ยวข้องที่มาช่วยงาน

เงินทำบุญคืออะไร?
“ค่าตั้งชื่อผู้ตาย” (ไคเมียวเรียว 戒名料 ) คนญี่ปุ่นถือว่าเมื่อเสียชีวิตแล้วจะกลายเป็นพระ จึงต้องให้พระสงฆ์ตั้งชื่อทางพุทธศาสนาให้+”ค่าทำศพ” (โดเคียวเรียว) ให้ค่าตั้งชื่อกับค่าสวดมนต์รวมกัน เรียกว่า “เงินทำบุญ” お布施(โอะฟุเซะ) บางคนก็แยกให้คนละซองระหว่าง “ค่าตั้งชื่อ” กับ “ค่าสวดมนต์”


เงินทำบุญใส่ซองด้วยนะคะ

ป้ายชื่อ

ป้ายชือ

จังหวะเวลาในการให้
มักให้หลังงานซือยะกับงานศพ ส่วนค่ารถกับค่าอาหารมักใส่ซองมอบให้ตอนนั้นเลย

จำนวนเงิน
โดยทั่วไปแล้วค่าตั้งชื่อกับค่าสวดมนต์รวมกันจะอยู่ในระหว่างสองแสนถึงห้าแสนเยน แต่ค่าตั้งชื่อนั้นมีหลายระดับ ถ้าเป็นระดับสูงค่าตั้งชื่อก็สูงขึ้นด้วย ปัจจุบันโดยมากมักกำหนดค่าตั้งชื่อตายตัวไว้แล้ว อาจสอบถามราคาไปทางวัดโดยตรงก็ได้



ค่าขอบคุณอื่นๆ
ค่ารถ
กรณีนิมนต์พระมาโดยไม่ได้ส่งรถไปรับควรจ่ายเงิน 1.5-2 เท่าของค่ารถ

ค่าสถานที่
กรณีที่จัดงานศพในวัดควรมอบเงินให้วัดเป็นค่าสถานที่ จำนวนเงินจะต่างกันไปแล้วแต่วัด

ค่าอาหาร
ถ้าพระปฏิเสธที่จะฉันอาหาร ให้มอบเงินค่าอาหารต่างหากหรือห่ออาหารให้นำกลับวัด
  

Posted by mod at 14:52Comments(0)

2016年03月15日

生け花 ศิลปะการจัดดอกไม้

สวัสดี วันอังคารค่ะ

ห่างหายไปจากการเขียนบล็อก 2-3 วัน ก็คิดถึงการเขียนบล็อกนะคะ แต่ติดภาระกิจจริงๆ ค่ะ

ตอนเด็กๆ ทุกคนเคยมีความฝันว่าอยากมีอาชีพโน่นอาชีพนี้สินะคะ ฉันเองก็ฝันอยากเป็นหลายอย่างมาก แล้ว 1 ในความฝันนั้นก็คืออยากมีร้านขายดอกไม้ สงสัยดูละครหรือซีรีย์มากไปหน่อย แต่ความฝันเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ถึงแม้จะทำไม่ได้ตามฝันเสียทุกอย่างก็ตาม

แล้วตอนที่ไปญี่ปุ่น ฉันก็ได้ทำสิ่งที่ใกล้เคียงความฝันเกี่ยวกับร้านดอกไม้หรือการจัดดอกไม้ค่ะ แม้จะไม่ได้ลงมือทำก็ตาม แค่ได้ดูก็มีความสุขแล้วค่ะ

ช่วงที่ไปอยู่ญี่ปุ่น ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนที่ฉันไปดูการเรียนการสอน ท่านพาฉันไปชมนิทรรศการ Ikebana ค่ะ สวยมากๆ เลยค่ะ ถ่ายรูปมาเยอะเลย แต่ดูไม่ค่อยจะเป็นเท่าไรค่ะ ก็เลยสนใจอยากรู้ข้อมูลเรื่อง Ikebana ก็เลยลองค้นหาข้อมูลดู


อิเคบานะ (生け花) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า (華道―Kadou) คือศาสตร์แห่งการจัดดอกไม้ หรือศิลปะของการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น




ศิลปะการจัดดอกไม้ของญี่ปุ่น อิเคบานะ (Ikebana) มาจากคำสองคำ คือ “อิเค” ที่แปลว่ามีชีวิต (生け) และ “บานะ” ที่หมายถึงดอกไม้ (花) โดยศิลปะแขนงนี้มีต้นกำเนิดจากการจัดดอกไม้ถวายพระ และพัฒนารูปแบบให้ใช้งานได้หลายโอกาส โดยอิเคบานะ จะเน้นความเรียบง่าย เหมือนวิธีของชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณ เมื่อมองดูจะรู้สึกสงบนิ่งผ่อนคลาย แต่แฝงไว้ด้วยความงามจากธรรมชาติค่ะ



ศิลปะการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่นนนี้ย้อนหลังไปในศตวรรษที่ 6 เมื่อพุทธศาสนาได้เข้ามาถึงประเทศญี่ปุ่น การถวายดอกไม้เป็นส่วนหนึ่งของการบูชาพระ อิเคบานะจึงถูกพัฒนามาจากการมอบดอกไม้ให้แก่ผู้ตายในพิธีทางศาสนาพุทธ รูปแบบดั้งเดิมแรกสุดของอิเคบานะเริ่มต้นขึ้นกลางศตวรรษที่ 15 นักเรียนและครูของอิเคบานะชุดแรกคือพระสงฆ์ เมื่อเวลาผ่านไป โรงเรียนต่างๆ ได้ถือกำเนิดขึ้น รูปแบบได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และในที่สุดอิเคบานะได้กลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งในสังคมญี่ปุ่น



“อิเคบานะ” (生け花) เป็นการจัดดอกไม้ กิ่งไม้ หรือหญ้าธรรมชาติเพื่อสะท้อนถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ เป็นความงามง่ายและเป็นธรรมชาติ นิยมใช้ดอกไม้จำนวนน้อย อาจประกอบด้วยกิ่งไม้บ้าง ดอกไม้บ้าง อย่างละนิด อย่างละหน่อย ดูแล้วทั้งสมถะ ทั้งสง่างาม แต่มีองค์ประกอบอื่นนอกจากดอกไม้เข้ามาผสมผสาน นอกจากนั้น บางครั้งมีจำลองเป็นเถาวัลย์ หรือใบไม้ ใบหญ้า หลายคนบอกว่า การจัดดอกไม้ญี่ปุ่นก็เหมือนการไม่จัด

การจัดอิเคบานะ มีทั้งหมด 3 แบบ



1. อิเคบานะแบบดั้งเดิม คือ การจัดในแนวตั้ง (ริกะ 生け花 立花) ปรากฎขึ้นในศตวรรษที่ 15 การจัด การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น แบบริกกะซึ่งมุ่งสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่าควรจัดดอกไม้เพื่อบรรยายภาพภูเขาพระสุเมรุ ซึ่งถือเป็นภูเขาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทางพุทธศาสนาและเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรวาลด้วย



2. อิเคบานะแบบสมัยใหม่ ใน ค.ศ.1890 หลังจากยุคปฏิรูปเมจิที่นำยุคสมัยใหม่และความเป็นตะวันตกมาสู่ประเทศญี่ปุ่น มีการพัฒนารูปแบบใหม่ของอิเคบานะเรียกว่า “โมริบานะ” (生け花 盛花) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “กองดอกไม้” การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น รูปแบบโมริบานะสอดคล้องกับการนำดอกไม้ตะวันตกมา รูปแบบโมริบานะเป็นการริเริ่มความมีอิสระในการจัดดอกไม้ด้วยการย่อส่วนของภูมิทัศน์หรือทัศนียภาพของสวน การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น การจัดดอกไม้แบบนี้ให้ความเจริญตาไม่ว่าจะตั้งอยู่ ณ ที่ใดและสามารถดัดแปลงให้หมาะสมกับทั้งสถานการณ์ที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ



3. อิเคบานะขนาดเล็ก (นะเงะอิเระ) (生け花 投げ入れ) เกิดขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 16 มีขนาดเล็กรูปแบบการจัดดอกไม้ที่มีวินัยจัดแต่เรียบง่าย เกิดขึ้นในฐานะเป็นส่วนหนึ่งในพิธีชงชา การจัดดอกไม้ตามรูปแบบนี้ ควรจัดดอกไม้ใส่ในแจกันให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดไม่ว่าวัสดุที่ใช้จะเป็นอะไรก็ตาม

ภาพด้านล่างคือภาพ Ikebana ที่ฉันได้ไปชมมาคะ เอามาฝากให้ดูเล็กๆ น้อยๆ นะคะ













  

Posted by mod at 13:23Comments(0)

2016年03月11日

White Day

สวัสดีค่ะ วันนี้วันที่ 11 มี.ค.แล้วนะคะ อีกไม่ 3 วันก็จะถึงวันที่ 14 มี.ค.แล้ว ทำไมถึงตั้งตารอ?




ก็ในวันวาเลนไทน์ที่ตรงกับวันที่ 14 ก.พ. ฝ่ายหญิงจะนำของขวัญ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตหรือดอกไม้ไปให้กับชายที่ตนเองแอบชอบ จากนั้นนับเวลาถอยหลังไป 1 เดือน รอรับของขวัญกลับคืนจากผู้ชายคนที่เรานำของไปให้นั่นเอง ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม หรือที่เราเรียกกันว่าวัน white day ค่ะ

สำหรับประเทศไทย เราไม่มีวัน White day แต่ขอแอบอิงประเพณีของญี่ปุ่นนิดนึงนะคะ ก็มันคงไม่ยุติธรรมนะ ถ้าให้สาวๆ เป็นฝ่ายให้แค่ฝ่ายเดียว ดังนั้น ในประเทศญี่ปุ่น นักการตลาดเลยคิดวัน White Day ขึ้นมา ซึ่งเป็นวันที่ฝ่ายชายได้ตอบแทนผู้หญิงโดยเริ่มจากบริษัทผลิตมาร์ชเมลโลที่ออกแคมเปญว่าวันที่ 14 มีนาคมเป็นวันที่หนุ่มๆ ควรจะซื้อมาร์ชเมลโลตอบแทนความรู้สึกดีๆ ที่หญิงสาวมีให้จึงเกิดวัน Marshmallow Day ขึ้นมาแต่พอนานๆ ไปแคมเปญก็เริ่มเปลี่ยนจากแค่ให้มาร์ชเมลโลกลายมาเป็นไวต์ช็อกโกแลต ลูกกวาด ดอกไม้ น้ำหอม เครื่องประดับและรวมถึงชุดชั้นใน จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัน White Day นี่เอง



โดยในวัน White Day นี้ก็จะมีการจัดงานWhite Day gift fair ซึ่งเป็นงานขายสินค้าสำหรับวันนี้โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านการค้าจะครึกครื้นไปด้วยสีขาวหนุ่มๆก็จะออกมาเดินจับจ่ายซื้อของขวัญไปตอบแทนน้ำใจสาวๆซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว ของที่จะซื้อเพื่อตอบแทนน้ำใจมักจะมีมูลค่ามากกว่าที่ได้รับประมาณ 3 เท่าทั้งนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถือธรรมเนียมนี้กันแล้ว

แต่รู้หรือไม่ว่า....ของตอบแทนที่จะให้คืนในวันไวท์เดย์มีความหมาย? ถ้าให้ไปโดยไม่รู้ความหมายล่ะก็ คุณสาวๆ อาจเคืองได้นะ ของตอบแทนพื้นๆ มี 3 อย่างได้แก่ มาร์ชเมลโล่ คุกกี้และลูกอม


1.มาร์ชเมลโล่ ที่ดูนุ่มฟูและมีสีสันสวยงามนั้น ดูเผินๆ น่าจะเป็นของขวัญที่สาวๆ เห็นแล้วถูกใจเป็นแน่ แต่ความหมายของมาร์ชเมลโล่ที่แท้จริงก็คือ “ผมไม่สามารถคบกับคุณได้…. ” ใช่แล้วล่ะค่ะ เขา Say No!



2.คุกกี้ก็เป็นขนมอีกอย่าง ที่หลายๆ คนเลือกจะใช้เป็นของขวัญสื่อแทนความรู้สึก แต่การได้ในวันไวท์เดย์นั้น คุกกี้สื่อความหมายว่า “เป็นเพื่อนกันแบบเดิมน่ะดีแล้ว …” “ที่เป็นอยู่แบบนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ…”เป็นของขวัญที่มักจะให้กันตามสถานที่ทำงาน ความสัมพันธ์เรียบง่าย แต่ดูยั่งยืน


3.ลูกอมธรรมดาๆ หรือท็อฟฟี่ ดูแล้วไม่น่าตื่นเต้นเลยนะคะ แต่มันเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกถึงวันไวท์เดย์ได้อย่างแท้จริง ความหมายของลูกอมต่างๆ เหล่านี้ให้ความหมายว่า “ผมชอบคุณ..” “ผมตกลงที่จะคบกับคุณ..” เป็นการสื่อความสัมพันธ์ที่ความหวาน และระยะเวลาการอมที่นานกว่าจะหมดความหวาน

แต่นอกจากนี้ก็ยังมีอย่างพวกเครื่องประดับ เสื้อผ้าหรือดอกไม้ด้วยนะคะ

แต่สำหรับการให้ของตอบแทนสำหรับช็อกโกแลตตามมารยาทหรือ Giri Choco นั้น ควรเป็นอะไรดีล่ะ

การให้ของตอบแทนสำหรับ Giri Choco นั้น ไม่ควรให้ของเป็นกลุ่มเหมือนวันวาเลนไทน์ ถึงจะเป็นของเล็กน้อยก็ตาม ควรเลือกของที่มีรสนิยม ผู้รับจะได้ดีใจ อย่างเช่น




ขนม
ส่วนใหญ่จะให้พวกขนม คุ้กกี้ ท๊อฟฟี่ ขนมมาร์ชเมลโลฯลฯ ที่บรรจุหีบห่อสวยงามน่ารัก



หนังสือภาพ
ให้หนังสือภาพน่ารักๆ แม้จะเป็นของตอบแทน Giri Choco ผู้รับก็จะดีใจมาก



ผ้าเช็ดหน้า
ผ้าเช็ดหน้าสวยๆ เป็นของที่เหมาะจะเป็นของตอบแทน สำหรับ “Giri Choco” มากที่สุด ถ้าให้ขนมเป็นชุดด้วยจะยิ่งดีมาก

สำหรับของที่ไม่ควรให้คือ
1.ดอกไม้ช่อใหญ่
การให้ดอกไม้ช่อใหญ่เป็นของตอบแทน Giri Choco คนรับอาจรู้สึกอึดอัดใจ จึงควรระวัง ถ้าเป็นช่อเล็กๆ ยังดีเสียกว่า
2.ชุดชั้นใน
ปัจจุบันมีชุดชั้นในกับขนมขายด้วยกันเป็นชุด แต่ไม่ควรให้ของประเภทนี้เป็นของตอบแทนกิริช็อกโก เพราะฝ่ายหญิงจะรู้สึกไม่พอใจ ดีไม่ดีคุณอาจถูกมองเป็นคนลามกก็ได้
  

Posted by mod at 14:38Comments(0)

2016年03月09日

ปรับโฉมใหม่ Yamanote Line

สวัสดี วันพุธค่ะ วันนี้อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไร น่าไปเที่ยวจัง

ถ้าพูดถึงไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ คนส่วนใหญ่ถ้าได้ไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกๆ ก็คงอยากจะไปเที่ยวโตเกียวสินะคะ

ใช่แล้วค่ะ โตเกียวมีสถานที่ท่องเที่ยวและช้อปปิ้งหลายแห่งที่น่าสนใจเลย เช่นฮาราจูกุ กินซ่า ชิบูย่า เป็นต้น แล้วการจะไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวในโตเกียว ก็คงต้องใช้พาหนะอย่างเช่นรถไฟ




รถไฟที่ตอบโจทย์การไปเที่ยวในเขตใจกลางโตเกียว ก็คือ JR Yamanote Line เป็นสายรถไฟที่ให้บริการโดยบริษัท JR East railway
สาย Yamanote นั้นมีความเป็นพิเศษคือเส้นทางเดินรถจะวนเป็นวงกลม ให้บริการในเขตใจกลางของโตเกียว เชื่อมสถานีใหญ่ๆเข้าไว้ด้วยกันทั้ง Tokyo, Shinagawa, Shibuya, Shinjugu, Ueno เป็นต้น




ซึ่งสถานีใหญ่ๆเหล่านี้ก็จะประกอบไปด้วยสายรถไฟที่วิ่งมาจากภูมิภาคต่างๆอีกเรียกได้ว่า สาย Yamanote นั้นเชื่อมการเดินทางไว้ภายในวงกลมเส้นเดียว



รุ่นที่ใช้อยู่ปัจจุบันนี้คือ JR Yamanote E231 เป็นรถรุ่นเก่าที่ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2002 ดังนั้น บริษัทรถไฟ East Japan Railways (JR East) จึงได้เปลี่ยนเป็นรถไฟรุ่นใหม่ล่าสุด E235 ซีรี่ยส์ ที่จะนำมาใช้กับรถไฟสาย Yamanote ที่วิ่งรอบโตเกียว สถานีสำคัญต่างๆ เช่น Tokyo, Shinjuku, Ueno, Shinagawa และมีผู้โดยสารใช้บริการมากถึง 3 ล้านคนต่อวัน




รถไฟรุ่น E235 นี้ ได้เริ่มทำการทดลองวิ่งในเดือนเมษายนปีที่แล้ว และมีกำหนดการจะเริ่มให้บริการในฤดูใบไม้ร่วง ปี 2015 แล้วขบวนแรกที่เริ่มให้บริการคือในวันที่ 30 พฤศจิกายน โดยออกจากสถานี Osaki เวลา 15:18 วิ่งวนรอบนอกทั้งหมด 7รอบ (ทวนเข็มนาฬิกา)

แต่ว่าได้เกิดปัญหาขึ้นหลายอย่าง เช่นประตูรถไม่เปิดออกบ้าง ก็เลยได้หยุดให้บริการไป โดยทางบริษัทรถไฟ East Japan Railways (JR East) ได้นำกลับมาแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่นซอฟแวร์ที่มีปัญหาแล้ว แล้วได้นำกลับทดสอบใหม่หลายครั้งแล้วจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว จึงได้เริ่มต้นเปิดให้บริการใหม่อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา

เมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบันอย่าง E231 ขบวนรถรุ่นใหม่ E235นั้น ภายในมีการปรับปรุงพื้นที่หลายจุดเช่น เพิ่มที่นั่งพิเศษสำหรับคนชราและคนพิการ เพิ่มพื้นที่ว่างและปรับปรุงให้ใช้งานง่ายต่อรถเข็นคนพิการและรถเข็นเด็ก เพิ่มขนาดที่นั่งให้กว่างกว่าเดิม ประตูขึ้นลงปรับปรุงให้ยากต่อมิจฉาชีพในการขโมยสิ่งของของผู้โดยสาร ภายนอกตัวรถทำด้วยสแตนเลส และเปลี่ยนมาใช้สีเขียวเทาแทนของเดิม






จุดเด่นของภายในรถไฟ มีโครงการที่จะเลิกใช้แผ่นป้ายโฆษณาที่แขวนตามราวในรถไฟ และจะเปลี่ยนมาใช้เป็นระบบดิจิตอล โดยจะฉายภาพโฆษณาในจอมอนิเตอร์แทน ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่สรุป เพราะยังต้องการความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการรถไฟ และบริษัทที่จะทำการลงโฆษณาก่อน ส่วนแผ่นป้ายโฆษณาตามผนังรถไฟ บริเวณประตูทางเข้าออก จะยังคงใช้ต่อไป ส่วนดีไซน์ภายใน ที่ดูเรียบหรู และกว้างขวาง




คาดว่าจะเปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่นี้อย่างครบสมบูรณ์ปี 2020 เพื่อต้อนรับงานโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกนั่นเอง
  

Posted by mod at 12:15Comments(0)

2016年03月08日

"昼寝" (Hiru-ne) นอนกลางวัน

สวัสดี วันอังคาร สี ピンク (สีชมพู) ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมวันอังคารต้องเป็นสีชมพูด้วย แล้วคนญี่ปุ่นเขามีสีประจำวันแบบตอนเราเรียนอนุบาลกันมัยน้อ

วันนี้ไม่ได้มาคุยเรื่องสีประจำวันนะคะ แต่แอบรู้สึกอิจฉาประเทศญี่ปุ่นตอนนี้นิดๆ นะคะ ที่ประเทศญี่ปุ่นช่วงนี้เป็นช่วงใบไม้ผลิที่ถือว่าเป็นฤดูที่ดีที่สุดฤดูหนึ่งของญี่ปุ่น อากาศแจ่มใส แสงอาทิตย์ส่องสว่างไปทั่วทุกภูมิภาค ช่างเป็น 春うらら จริงๆ 春うらら (Haru-urara) หมายถึง อากาศอันแสนอบอุ่นชวนฝันในฤดูใบไม้ผลิ โดยคำว่า "Urara" มีความหมายว่า ความสดใส อบอุ่น นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การนอนกลางวันที่สุด

การนอนกลางวันนั้น ภาษาญี่ปุ่นจะเรียกกันว่า "昼寝" (Hiru-ne)



เพราะว่าพอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็จะร้อนขึ้น ส่งผลให้สมองเย็นลง แล้วทำให้เราง่วงได้ ดังนั้นการนอนกลางวันสักครู่จะเป็นการดี แต่การนอนกลางวันให้มีประสิทธิภาพก็ต้องมีเทคนิคด้วยนะคะ นั่นก็คือ

ระยะเวลาในการนอนกลางวันที่ดีคือ 15 นาที

ช่วงเวลาที่ควรนอนกลางวันที่ส่งผลดี คือ 13.00-15.00 น.

ท่านอน กรณีที่มีโซฟา ให้นั่งทำมุม 120 องศา แล้วเอาขาพาดกับเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง

ถ้าไม่มีโซฟา มีแต่โต๊ะญี่ปุ่นเล็ก ๆ ก็ให้เอาหมอนวางบนโต๊ะมารองหัวนอน


บริเวณอหารกลางวัน+นอนกลางวัน

ยึดโซฟาเป็นที่นอน

จัดเก้าอี้ให้นอนไปเลย

แล้วที่ญี่ปุ่นก็มีบางบริษัทให้พนักงานนอนกลางวันในเวลาทำงานด้วย เพราะทางบริษัทถือว่าถ้าให้พนักงานได้พักผ่อนบ้าง น่าจะส่งผลต่อการทำงานที่ดีขึ้น

อย่างมีคำศัพท์หนึ่งที่ใช้แทนการนอนกลางวันของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้นอน เขาช่วยรับโทรศัพท์แทน แล้วบอกกับคนที่โทรมาว่า Aさんがパワーアップ中です。(昼寝中です。)= "คุณ A กำลัง Power up หรือชาร์จพลังอยู่ค่ะ" (หมายถึง กำลังนอนกลางวันอยู่ค่ะ)

แต่ไม่ควรนอนกลางวันนานเกินไป เพราะว่าจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ถ้าจะหลับสบายบนที่นอนต้องเก็บเอาไว้ตอนกลางคืนนะคะ

พอมีเทรนด์การนอนกลางวัน ญี่ปุ่นถึงกับมีการเปิดร้านเช่านอนไว้คอยให้บริการกันเลย อย่างเช่นจะมีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการก็คือ ค่าสมาชิกแรกเข้า 1,500 เยน หลังจากนั้นเข้าแต่ละครั้ง 40 นาที ราคา 1,000 เยน ถ้าเลยเวลา 10 นาที 250 เยน จะมีหมอนกับผ้าปิดตาและกางเกงไว้ให้บริการ และก็ยังมีห้องนอนใหญ่ให้เลือกด้วย เวลาในการให้บริการนั้นเจ้าหน้าที่จะตั้งเวลาไว้ เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็จะไปปลุก กฎระเบียบของที่นี่ก็คือ ห้ามนำอาหารเข้าห้องนอน และก็ให้ปิดโทรศัพท์มือถือด้วย




คนญี่ปุ่นเขาจะพิถีพิถันเรื่องการนอนมาก ที่ญี่ปุ่นจึงมีโชว์รูมสำหรับทำหมอนพิเศษเฉพาะคุณเท่านั้นมีใบเดียวในโลก เมื่อเข้าไปใช้บริการในโชว์รูม เจ้าหน้าที่ก็จะวัดขนาดความหนาและความตื้นลึกของคอ เพราะว่าศีรษะของคนเรานั้นมีขนาดและน้ำหนักรวมถึงรูปทรงของท้ายทอยไม่เท่ากัน ดังนั้นการใช้หมอนจึงแตกต่างกันไป เพื่อให้นอนแล้วไม่ปวดหลังหรือปวดคอ ถ้าหากนอนหมอนใบนี้จะยิ่งทำให้หลับสนิทยิ่งขึ้น วัตถุดิบในการทำหมอนพิเศษนี้คือเส้นใยสังเคราะห์ โพลีเอสเตอร์ เปลือกโซบะ ฟองน้ำยืดหยุ่นพิเศษ ขนนก เป็นต้น แล้วก็ยังมีรูปทรงหลากหลายที่ให้ความรู้สึกในการนอนที่แตกต่างและเหมาะสมกับแต่ละคนด้วย

อุปกรณ์การนอนกลางวัน


แขนไม่ชา คอไม่เคล็ด ดีจัง


น่าจะนอนสบาย

ฉันเคยไปทำธุระในโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในประเทศไทยนี่แหละค่ะ ระหว่างนั่งรอที่ล็อบบี้ ฉันก็เหลือบไปเห็นตู้อยู่ใบหนึ่งเต็มไปด้วยหมอนรูปทรงต่างๆ และใช้วัสดุแตกต่างกัน เขาเตรียมไว้ให้ลูกค้าที่มาใช้บริการได้เลือกหมอนที่ช่วยทำให้นอนหลับสบายนั่นเอง เพิ่งถึงบางอ้อนะคะ (ตอนแรกนึกว่าขายหมอน)

ประเทศไทยน่าจะมีช่วงเวลานอนกลางวันบ้างนะคะ เพราะว่าช่วงบ่ายๆ หลังทานข้าว นั่งทำงานทีไรก็สัปหงกทุกที

  

Posted by mod at 15:13Comments(0)

2016年03月07日

宝くじ สลากกินแบ่ง

สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ อากาศเริ่มร้อนแล้วนะคะ นี่ยังไม่ทันเดือนเม.ย.ก็ร้อนกันขนาดนี้แล้ว แล้วเดือนเม.ย.ล่ะ จะขนาดไหน

เพื่อนๆ คนไหน ชอบเสี่ยงโชคบ้างมัยคะ ฉันเองนานๆ จะลองเสี่ยงสักครั้งหนึ่ง ด้วยการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลนั่นเอง แต่อัตราการถูกของฉันเรียกได้ว่า 0% เลยค่ะ ตั้งแต่ลองเสี่ยงมาไม่ถูกเลยสักครั้ง ก็ถือว่าฮาๆ ล่ะกัน



สลากกินแบ่งรัฐบาลหรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า “ล็อตเตอรี่” นั้น ภาษาญี่ปุ่นเรียกกันว่า “宝くじ” (Takara-kuji) ค่ะ (แต่ฉันไม่เคยเสี่ยงโชคที่ญี่ปุ่นนะคะ เพราะแค่ค่ากินอยู่ก็แย่แล้ว 555)

ล็อตเตอรี่ของญี่ปุ่นเป็นระบบที่องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นใช้รวบรวมเงินเพื่อพัฒนาท้องถิ่นโดยให้ประชาชนซื้อสลากที่สามารถเลือกตัวเลขได้ และมีโอกาสถูกรางวัลจากสลากนั้น ที่ประเทศญี่ปุ่นมีล็อตเตอรี่หลายประเภท เช่น ล็อตเตอรี่ฟุตบอล (จะเหมือนตั้งโต๊ะบอลป่าวน้า) สแครชล็อตเตอรี่ (ล็อตเตอรี่ที่ซื้อแล้วสามารถขูดดูได้เลยว่าถูกรางวัลหรือไม่ ราคาใบละประมาณ 200 เยน) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ล็อตเตอรี่ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ 宝くじ (Takara-kuji)




คำว่า Takara-kuji ประกอบด้วยคำว่า “Takara” คือทรัพย์สมบัติ, ของมีค่า กับ “kuji” คือล็อตเตอรี่

ล็อตเตอรี่ของญี่ปุ่นขายเป็นชุด ชุดละ 10 ใบ มีทั้งตัวเลขที่เรียงกันหรือตัวเลขสุ่ม ราคาใบละ 100-300 เยน มีเจ็ดรางวัล โดยรางวัลที่ 1 มีมูลค่าสูงถึง 2 ร้อยล้านเยนเลยทีเดียว

จะมีบู้ธเล็กๆ ขายอยู่ตามที่ทั่วไป เห็นได้บ่อยตามสถานีรถไฟ ลักษณะก็จะเป็นตั๋วใบยาวๆ นำมาขูดดูตัวเลขแล้วก็รอลุ้นในวันประกาศ ซึ่งลอตเตอรี่ที่ญี่ปุ่นก็มีอยู่หลายแบบ เช่นรายเดือนหรือราย 3 เดือน ยิ่งเป็นแบบที่รอบการออกรางวัลนานเท่าไหร่ เงินรางวัลก็จะสูงขึ้นด้วย




ขอจะแนะนำชนิดของล็อตเตอร์รี่ที่คนนิยมให้ฟังคร่าวๆ
แบบ Jumbo ในหนึ่งปีจะออกรางวัล 3 ครั้ง ขายใบละ 300 เยน ขายยกเซ็ทรวม 10 ใบ
แบบ Dream Jumbo ในหนึ่งปีจะออกรางวัล 1 ครั้ง ขายใบละ 300 เยน ขายยกเซ็ทรวม 10 ใบ
แบบ Summer Jumbo ในหนึ่งปีจะออกรางวัล 1 ครั้ง ขายใบละ 300 เยน ขายยกเซ็ทรวม 10 ใบ
แบบ Nenmatsu Jumbo ในหนึ่งปีจะออกรางวัล 1 ครั้ง ขายใบละ 300 เยน ขายยกเซ็ทรวม 10 ใบ

ถ้าถูกรางวัลขึ้นมาจะได้เงินเท่าไหร่กันน้า ...

รางวัลที่1 ได้เงินรางวัล 400,000,000 เยน แล้วยังมีรางวัลข้างเคียงรางวัลที่หนึ่งอีก 2 รางวัลๆ ละ
100,000,000 เยน นั่นแสดงว่าคนที่ถูกรางวัลที่ 1 เค้าต้องซื้อเป็นเซ็ท 10 ใบอยู่แล้วนั่นคือมักจะถูกรางวัลข้างเคียงไปด้วย รวมๆ ดูแล้วก็ 600,000,000 เยน หรือ ประมาณ 200,000,000 บาท (ข้อมูลปี 2012)

แล้ว Takara-kuji ก็จะมี Zengo-Shou คือรางวัลเลขข้างเคียงก่อนและหลังเลขที่ถูกรางวัลด้วยนะคะ

เมื่อเราถูกล็อตเตอรี่ เราจะพูดว่า “宝くじ当たった!!” (Takara-kuji atatta!!) ฉันถูกล็อตเตอรี่
แต่ถ้าไม่ถูก ก็จะพูดด้วยความเจ็บใจว่า “くやしい” (Kuyashii) เจ็บใจชะมัดเลย

มีคำถามว่า
1.แล้วคนต่างชาติซื้อได้หรือเปล่า // ได้ค่ะ
2.แล้วตรวจผลได้ที่ไหน // หน้าเคาเตอร์ที่ขาย + อินเตอร์เน็ต
3.ถ้าถูกแล้วไปขึ้นรางวัลได้ยังไง ที่ไหนบ้าง // ถ้าถูกก็ขึ้นเงินได้ที่บู๊ทขายหวยไหนก็ได้ตามวันและเวลาที่ระบุไว้ในใบหวย.....ไม่เสียภาษี



แถมประเทศญี่ปุ่น เขายังมีวันแห่งสลากล็อตเตอรี่ (宝くじの日, Takarakuji no Hi) ด้วยคือวันที่ 2 กันยายน โดย ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 โดยธนาคาร Mizuho เกิดจากการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นของวันนี้ก็คือ ku く(9) และ ji じ (2) ซึ่งคำว่า Kuji หมายถึงการจับสลาก ส่วนคำว่า Takarakuji ก็หมายถึงการจับสลากสมบัติ ในวันนี้ของทุกปีที่ประเทศญี่ปุ่น จะมีการถ่ายทอดรายการพิเศษเกี่ยวกับ “วันที่ระลึกฝันพิเศษของการจับสลาก” ด้วย
  

Posted by mod at 12:31Comments(1)

2016年03月04日

ฤดูกาลโยกย้ายงาน "転勤"

สวัสดีวันศุกร์ค่ะ นี่ก็เข้าสู่เดือนมีนาคมมาได้ 4 วันแล้ว อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเข้าสู่เดือนเม.ย.สงสัยจะร้อนสุดๆ แน่นอน แต่สำหรับเดือนมีนาคมของญี่ปุ่นนั้น ยังถือว่าอากาศยังค่อนข้างหนาวเย็นอยู่เลยนะคะ แล้วเดือนมี.ค.นี้จะเป็นเดือนที่เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิด้วย

นอกจากญี่ปุ่นจะเรียกชื่อเดือนเป็นตัวเลข อย่างเช่น 3月(sangatsu เดือน 3) ยังมีชื่อเรียกเดือนแบบโบราณอีกเช่น เดือน 3 : 弥生 (ヤヨイ) เป็นเดือนที่พืชพันธุ์นั้นเจริญเติบโตจึงมีชื่อเดือนเต็มๆว่า 木草弥や生ひ月(きくさいやおひづき)เรียกสั้นๆว่ายาโยฮิ (やよひ) แล้วเสียงก็เพี้ยนเป็นยาโยอิแบบปัจจุบัน




弥生 (Yayoi)มีความหมายว่า การโตวันโตคืน ราวๆ วันที่ 6 มี.ค. เหล่าแมลงและสัตว์ที่จำศีลอยู่ จะออกจากรูที่อยู่ เริ่มมีเสียงนกร้อง แล้วต้นไม้และดอกไม้ก็เริ่มต้นผลิดอกออกใบกัน นับว่าเดือน 3เป็นเดือนแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต อย่างเช่นมีพิธีจบการศึกษา รับใบประกาศนียบัตร สำหรับบริษัทห้างร้าน เดือนมี.ค.จะเป็นช่วงของการปิดงบประมาณและยื่นภาษี แล้วก็จะเป็นช่วงฤดูแห่งการโยกย้าย อย่างเช่นโยกย้ายที่ทำงาน ย้ายโรงเรียนหรือย้ายบ้านเป็นต้น

“転勤” (Tenkin) คือการย้ายไปประจำสำนักงานในต่างถิ่น




อันนี้นับว่าเป็นขนมธรรมเนียมประเพณีของคนทำงานอย่างหนึ่ง.. ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของซาลารี่แมนญี่ปุ่น

ในประเทศญี่ปุ่นนั้น เขาจะมี Concept สับเปลี่ยน (rotation) พนักงาน ซึ่งเห็นได้แทบทุกบริษัท อาจเป็นการโยกย้ายภายในประเทศ หรือต่างประเทศก็ได้

บริษัทญี่ปุ่นถือว่า การย้ายไปทำงานหลายๆที่นั้นเป็นการเปิดโลกทัศน์ในการทำงานให้กว้างขึ้น รู้จักปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ๆ อีกทั้งยังได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ไปในตัวด้วย..

ว่าแต่ว่า.. คนญี่ปุ่นชอบการโยกย้ายที่ทำงานหรือเปล่า..??

ส่วนหนึ่ง ฉันคิดว่าเขาก็คงไม่ชอบ!! นั่นก็เพราะว่า การโยกย้ายที่ทำงานจะสร้างความยุ่งยากให้กับบางครอบครัว ด้วยสาเหตุต่างๆ นานา อย่างเช่นปัญหาเรื่องโรงเรียนลูก การดูแลผู้สูงอายุ จึงทำให้บางครั้งคุณพ่อบ้านจำเป็นต้องย้ายไปแบบไปอยู่คนเดียวตามลำพัง แบบนี้เราจะเรียกวว่า “単身赴任” (Tanshin-funin การย้ายเดี่ยว)จึงต้องใช้ชีวิตแบบพ่อบ้านโสดในต่างถิ่น ..อันนี้น่ากลัวมากสำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว.. โดยเฉพาะคนที่อายุน้อยกำลังสร้างครอบครัว.. พนักงานเหล่านี้ก็ต้องลิ้มรสกับความรักระยะไกล.... หรือบางคนอาจจะชอบก็ได้นะคะ




เมื่อมีคำสั่งโยกย้าย ก็จะต้องมีการเตรียมตัวเก็บข้าวของในการย้ายด้วย ดังนั้น งานบริการขนย้ายสำหรับญี่ปุ่นในปัจจุบันถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่และบริษัทฯ ต่างๆ ก็แข่งขันแย่งชิงกันดุเดือดมาก เพื่อจะเสนอบริการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย แล้วก็มีระบบให้เช่าครบชุดทั้งเครื่องเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้อื่นๆ ที่จำเป็นภายในบ้าน



ถ้าพูดถึงบริษัทที่ให้บริการโลจิสติกส์แบบ door to door ของญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุด มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักใช้บริการกันอย่างแพร่หลาย ก็คงหนีไม่พ้น Kuroneko Yamato ที่มีโลโก้ของบริษัทเป็นรูปวงรีสีเหลือง มีรูปแม่แมวสีดำกำลังคาบลูกแมว สื่อให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาของบริษัทว่า พวกเขาจะดูแลสินค้าหรือพัสดุ เสมือนคนในครอบครัวของพวกเขาเอง โลโก้นี้พบเห็นได้ทั่วไปและเป็นที่คุ้นเคยในญี่ปุ่น โดยปรากฏทั้งในภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูน




การบริการขนส่งสินค้านั้นทางบริษัทจะมารับถึงที่ มีสารพัดชนิด ตั้งแต่พัสดุขนาดย่อมถึงขนาดใหญ่ ไปจนถึงขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ย้ายบ้าน ย้ายสำนักงาน ทั้งภายในประเทศและข้ามประเทศ ทั้งยังมีบริการพิเศษเฉพาะที่คนนิยมใช้ เช่นการรับส่งกระเป๋าเดินทางระหว่างที่พักกับสนามบิน ส่งถุงกอล์ฟ อุปกรณ์สกีระหว่างบ้านกับสนามกอล์ฟหรือลานสกี แทนที่จะแบกสัมภาระหนักๆ ก็เดินตัวปลิวหิ้วกระเป๋าขึ้นรถไฟซึ่งรวดเร็วและสะดวกสบาย แถมให้บริการตลอดทั้งปี 365 วันไม่มีวันหยุด เรียกว่าถ้าไปญี่ปุ่นไม่ว่าจะไปซอกมุมไหน ตราบใดที่มีคนอาศัยอยู่ มีโอกาสที่จะได้เห็นป้ายสัญลักษณ์เจ้าแมวดำคาบลูกไปทั่วหัวระแหง



หลังจากที่ได้รับคำสั่งการโยกย้ายงานแล้ว.. บริษัทญี่ปุ่นก็จะมีธรรมเนียมเลี้ยงส่ง ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โซเบทซึไก 送別会 ด้วย

"乾杯" คัมไป ไชโยๆ



  

Posted by mod at 16:17Comments(0)

2016年03月03日

รถแท็กซี่ไร้คนขับ "Robot Taxi"

สวัสดี วันพฤหัสค่ะ

เมื่อวันก่อนได้ใช้บริการรถแท็กซี่ค่ะ กว่าจะเรียกได้เล่นเอาเหนี่อยเลยล่ะคะ บางคนบอกว่าไม่ไป ต้องรีบไปส่งรถบ้าง ไม่ไปเพราะเส้นสุขุมวิทรถติดบ้าง แก๊สหมดบ้าง โอ๊ย เยอะค่ะ


ก็เลยคิดไปถึง “Robot Taxi” หรือรถแท็กซี่ไร้คนขับ ที่ได้เริ่มต้นทดสอบการให้บริการในปี 2016 ที่เมือง Fujisawa จังหวัด Kanagawa พื้นที่ทางตอนใต้ของกรุงโตเกียว ในระยะทาง 2 ไมล์ ซึ่งจะมีผู้โชคดี 50 คนแรก ที่จะได้รับเกียรติโดยสารนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับเป็นครั้งแรก ซึ่งได้เปิดทดสอบการให้บริการไปตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา นี่จะถือเป็นการทดลองวิ่งบนถนนจริงครั้งแรก



“Robot Taxi” หรือรถแท็กซี่ไร้คนขับ เป็นการร่วมทุนพัฒนาระหว่างบริษัทด้านอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า DeNa กับบริษัทด้านการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับหรือ ZMP รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งเป้าหมายของการให้บริการ คือการอำนวยความสะดวกให้กับประชากรผู้สูงอายุในญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดย 1 ใน 4 ของประชากรมีอายุเกิน 65 ปี ตลอดจนการให้บริการแก่ผู้พิการ

ลูกค้าจะใช้วิธีการจองรถแท็กซี่ได้ผ่านทางสมารท์โฟนหรือคอมพิวเตอร์เป็นต้น อย่างเช่นลูกค้าเรียกแท็กซี่เพื่อไปยังซุปเปอร์มาเก็ต เมื่อลูกค้าขึ้นรถแท็กซี่ที่เรียกมารับแล้ว รถก็จะวิ่งพาไปยังซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ โดยอัตโนมัติ

การทำงานของ Robot Taxi นี้ใช้ระบบนำทางด้วย GPS , เรดาห์ที่มีความยาวคลื่นระดับมิลลิเมตร , กล้องคู่ (stereo vision camera) และระบบวิเคราะห์ภาพ ผสมผสานกันเพื่อให้รถวิ่งได้เองโดยไม่ต้องมีคนบังคับ ในการทดสอบวิ่ง รถจะวิ่งเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร ผ่านถนนสายหลัก ๆ ในเมือง เมื่อรถแท็กซี่ใช้กล้องและเซ็นเซอร์ในการตรวจสอบบริเวณรอบๆ ว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็จะขับเคลื่อนพวงมาลัยและเบรคโดยอัตโนมัติ

ในช่วงระหว่างการทดลองใช้งานจริงครั้งนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทนั่งไปด้วยในที่นั่งคนขับ เพื่อจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้น บริษัทยังได้บอกว่าจะตรวจสอบความปลอดภัยและระบบการจองที่ใช้ได้สะดวกง่ายดาย

สำหรับการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบจะมีขึ้นในปี 2020 ซึ่งจะเป็นช่วงมหกรรมการแข่งขันโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ และ Robot Taxi จะมีบทบาทสำคัญในการรับส่งนักกีฬาและนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น

ถ้าใครสนใจลองเข้าไปดูโฆษณาได้ตามลิงค์ด้านล่างนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=pGEomEOPVKc


อันนี้ลองคิดดูเล่นๆ นะคะ หากมันมีมาให้บริการในเมืองไทยบ้าง โดยเฉพาะตามจุดหรือพื้นที่สำคัญๆอย่างเช่น สนามบินหรือแหล่งท่องเที่ยวบางแห่ง ผู้ใช้บริการจะได้หมดปัญหากับการที่จะต้องโดน Taxi ปฏิเสธผู้โดยสารเสียที หรือโดนโกงค่ามิเตอร์ตามที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง

คราวนี้แหละ แท็กซี่เมืองไทยมีหนาวกันแน่  

Posted by mod at 12:16Comments(0)

2016年03月02日

花より団子 กินขนมดีกว่าชมดอกไม้

สวัสดี วันพุธค่ะ เมื่อวานได้ลองเปิดเข้าไปดูพยากรณ์ซากุระบาน (桜前線-Sakura zensen) ที่ญี่ปุ่นปี 2016

พอพูดถึงซากุระ ทำให้คิดไปถึงสำนวนภาษาญี่ปุ่น ที่ว่า 花より団子 (Hana yori Dango) เพื่อนๆ เคยได้ยินมัยคะ แล้วซากุระกับขนมดังโกะ มันมาเกี่ยวกันได้ไง เดี๋ยวค่อยเล่านะคะ มาดูก่อนดีกว่าว่าซากุระบานช่วงไหน


ดอกซากุระจะเริ่มบานจากล่างขึ้นบน จากเมือง Kagoshima ไล่ขึ้นไปยัง Hokkaido เนื่องจากทางตอนเหนือของญี่ปุ่นในช่วงต้นปีนี้มีอุณหภูมิในเดือนมกราคมสูงกว่าปกติ จึงคาดว่าน่าจะเห็นดอกซากุระเริ่มบานเร็วขึ้นกว่าทุกปี ส่วนตอนกลางของญี่ปุ่นอุณหภูมิตอนต้นปีนี้สูงกว่าปีก่อนๆแค่เล็กน้อยเท่านั้น จึงคาดว่าน่าจะเริ่มบานเท่ากับปีก่อนๆ หรืออาจจะบานเร็วกว่านิดหน่อย ส่วนที่เกาะใต้ คิวชูนั้น เมื่อปลายปีที่แล้วฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวนั้นเริ่มช้า จึงคาดว่าปีนี้ดอกซากุระน่าจะบานช้ากว่าปีอื่นๆ ใครมีแพลนไปญี่ปุ่นก็กะช่วงเวลาไปดูดอกซากุระกันดีๆ นะคะ




ในญี่ปุ่นนั้น ซากุระจะเริ่มผลิดอกในเดือนเมษายน ดอกซากุระจะสวยงามมากหากผลิดอกบานเต็มที่ ชาวญี่ปุ่นจึงมักไปปิกนิกกันตามสถานที่ที่ร่ำลือกันว่าดอกซากุระสวย เพื่อดื่มและกินอาหารใต้ต้นซากุระ ที่เรียกว่า “花見” (Hanami)

แล้วทำไมคนญี่ปุ่นถึงชื่นชมซากุระมากกว่าดอกไม้อื่นๆ นั่นก็เพราะว่าดอกซากุระเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข เนื่องจากเดือนเมษายนที่ซากุระบานเป็นช่วงที่เด็กๆ เริ่มเปิดภาคเรียนใหม่และผู้ที่จบการศึกษาแล้วก็จะเริ่มทำงาน แล้วก็เป็นช่วงเริ่มปีงบประมาณใหม่ ดอกซากุระจึงมีบรรยากาศของอนาคตที่สดใส



ผู้คนจะแย่งกันไปจองทำเลที่ดีที่สุดสำหรับชมดอกไม้ตั้งแต่เช้า โดยหากเป็นการสังสรรค์ภายในบริษัท มักส่งพนักงานที่อายุน้อยหรือพนักงานเข้าใหม่ไปจอง (น่าสงสารจัง) แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราจะเห็นว่าคนญี่ปุ่นจะเพลิดเพลินกับการกินอาหารว่าง (Otsumami) พร้อมกับดื่มเหล้าสาเกและเบียร์ และร้องรำทำเพลงมากกว่าการชื่นชมดอกซากุระอันสวยงามเสียอีก แม้ว่าคนญี่ปุ่นจะชอบดูสิ่งสวยงาม แต่พวกเขาก็นิยมสิ่งที่สัมผัสได้จริงๆ อย่างอาหาร เหล้าสาเก ไม่ได้ชื่นชมเฉพาะความสวยของดอกซากุระอย่างเดียว




จึงได้เกิดสำนวนที่ว่า “花より団子” (Hana yori dango) คือกินขนมดีกว่าชมดอกไม้ หมายความว่า การเลือกสิ่งที่เป็นรูปธรรม ที่สามารถหยิบฉวยจับต้องได้ ย่อมมีประโยชน์มากกว่า การเลือกสิ่งที่เป็นเพียงนามธรรม




เป็นคำสอนไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาไปกับรูปโฉมภายนอก แต่ให้พิจารณาถึงแก่นสารของเรื่องนั้นๆว่าจะมีประโยชน์เพียงใด

สำนวนนี้มีที่มาจากคำว่า 花団子 (hana dango) ซึ่งเป็นขนมดังโงะในเทศกาลชมดอกไม้ โดยใช้เป็นคำเย้ยหยันว่า แทนที่จะชมดอกซากุระที่มีความสวยงามแต่เพียงภายนอก ควรเลือกที่จะทานขนมดังโงะซึ่งจะทำให้อิ่มท้องมากกว่า

แต่ในทางตรงกันข้าม ก็ใช้เป็นคำเย้ยหยันคนที่ไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ ที่นึกถึงแต่เรื่องปากเรื่องท้องของตนเองแต่เพียงอย่างเดียว
นอกจากสำนวนนี้แล้วก็ยังมีสำนวนที่คล้ายๆ กันอย่างเช่น

色気より食い気 (Iroke yori kuike) คือว่าอาหารสำคัญกว่าเสน่ห์ หมายถึง การที่มีความอยากทานอาหาร มากกว่าที่จะคิดถึงเรื่องความรักความใคร่ระหว่างชายหญิง


  

Posted by mod at 12:48Comments(0)