
2015年08月16日
เทศกาลโอบ้ง
ในเดือนสิงหาคมที่ญี่ปุ่นก็จะมีช่วงวันหยุดยาว นั่นก็คือ เทศกาลโอบ้ง (お盆祭り) เป็นเทศกาลเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งตรงกับช่วงวันที่ 13 - 16 สิงหาคมของทุกปี เชื่อกันตามศาสนาพุทธว่า บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะกลับมาโลกภูมิหาลูกหลาน คนญี่ปุ่นก็จะกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวและเตรียมตัวจัดอาหารคาวหวานผลไม้เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ

ที่ทำงานต่างๆจะกำหนดเป็นวันหยุดพักผ่อนช่วงหน้าร้อน ร้านค้าต่างๆหยุดทำการ ทุกคนกลับบ้าน หรือบางครอบครัวอาจจะไปเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ช่วงนี้การจราจรไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถไฟ รถบัส หรือเครื่องบิน คราคร่ำไปด้วยผู้คน เปรียบเสมือนช่วงสงกรานต์ของเมืองไทย
แล้วหนึ่งในสัญลักษณ์ของเทศกาลโอบ้งก็คือ

โชเรียวอุมะ จะเป็นชื่อของมะเขือม่วงและแตงกวา ที่ได้ใช้ตะเกียบหรือไม้ไผ่นำมาเหลาให้เล็กๆแล้วนำไปเสียบให้เป็นขาสี่ขา สันนิษฐานตามความเชื่อถือกันมาแต่สมัยโบราณว่า "มะเขือม่วงนั้น" เปรียบเป็น "ม้า" และ "แตงกวา"ก็จะเปรียบเป็น "วัว" เชื่อกันว่าวิญญาณหรือผีของญี่ปุ่นนั้นจะไม่มีขา ดังนั้นวิญญาณเหล่านี้จึงจะต้องใช้สิ่งสองสิ่งนี้เป็นที่นั่งและที่วางสัมพาระต่างๆ ของตนบรรทุกกลับมาสู่บ้านนั่นเอง...
แล้วก็ยังมี
มุไคเอฮี เป็นการก่อกองไฟหรือจุดคบ ไฟมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ได้กลับมานั้นได้เดินทางสะดวกทั้งขามาและ กลับ เพื่อไม่ให้หลงทางไปทางไหน... ตัวอย่างเช่น การก่อคบไฟให้เป็นรูปตัว อักษรของคำว่า "ได" ซึ่งจะกระทำขึ้นทุกๆ ปีที่วัด "ไดม่อนจี่ซามะ" ซึ่งเป็นวัดที่ มีชื่อเสียงของเมืองโอซาก้า เป็นคบไฟที่แสดงเครื่องหมายของการรับกลับและไฟของการส่ง วิญญาณ ซึ่งธรรมเนียมการจุดคบไฟของวัดนี้ได้กระทำสืบเนื่องกันติดต่อกันมาตั้งแต่ในสมัยเอโดะ เป็นการก่อคบไฟบนภูเขาที่มีชื่อเสียงมาก


ที่ทำงานต่างๆจะกำหนดเป็นวันหยุดพักผ่อนช่วงหน้าร้อน ร้านค้าต่างๆหยุดทำการ ทุกคนกลับบ้าน หรือบางครอบครัวอาจจะไปเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ช่วงนี้การจราจรไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถไฟ รถบัส หรือเครื่องบิน คราคร่ำไปด้วยผู้คน เปรียบเสมือนช่วงสงกรานต์ของเมืองไทย
แล้วหนึ่งในสัญลักษณ์ของเทศกาลโอบ้งก็คือ

โชเรียวอุมะ จะเป็นชื่อของมะเขือม่วงและแตงกวา ที่ได้ใช้ตะเกียบหรือไม้ไผ่นำมาเหลาให้เล็กๆแล้วนำไปเสียบให้เป็นขาสี่ขา สันนิษฐานตามความเชื่อถือกันมาแต่สมัยโบราณว่า "มะเขือม่วงนั้น" เปรียบเป็น "ม้า" และ "แตงกวา"ก็จะเปรียบเป็น "วัว" เชื่อกันว่าวิญญาณหรือผีของญี่ปุ่นนั้นจะไม่มีขา ดังนั้นวิญญาณเหล่านี้จึงจะต้องใช้สิ่งสองสิ่งนี้เป็นที่นั่งและที่วางสัมพาระต่างๆ ของตนบรรทุกกลับมาสู่บ้านนั่นเอง...
แล้วก็ยังมี
มุไคเอฮี เป็นการก่อกองไฟหรือจุดคบ ไฟมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ได้กลับมานั้นได้เดินทางสะดวกทั้งขามาและ กลับ เพื่อไม่ให้หลงทางไปทางไหน... ตัวอย่างเช่น การก่อคบไฟให้เป็นรูปตัว อักษรของคำว่า "ได" ซึ่งจะกระทำขึ้นทุกๆ ปีที่วัด "ไดม่อนจี่ซามะ" ซึ่งเป็นวัดที่ มีชื่อเสียงของเมืองโอซาก้า เป็นคบไฟที่แสดงเครื่องหมายของการรับกลับและไฟของการส่ง วิญญาณ ซึ่งธรรมเนียมการจุดคบไฟของวัดนี้ได้กระทำสืบเนื่องกันติดต่อกันมาตั้งแต่ในสมัยเอโดะ เป็นการก่อคบไฟบนภูเขาที่มีชื่อเสียงมาก

Posted by mod at
16:07
│Comments(0)
2015年08月14日
รางน้ำฝน

แว่บแรกที่เห็นภาพนี้ ก็คิดว่าเป็นอะไรน้า มันใช้ทำอะไร?
เห็นตอนที่ไปอยู่ที่ญี่ปุ่น มันแขวนอยู่ที่หน้าบริษัท ดูๆ ไปมันก็สวยดี นึกว่าเอาไว้สั่นเรียกคนเสียอีก
แต่จริงๆ แล้วมันคือรางน้ำฝนนั่นเอง ชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นคือ 【鎖樋】(Kusaritoi) รางน้ำฝน มีลักษณะเป็นห่วงโซ่ที่แขวนลงมาจากหลังคาของด้านข้างประตูทางเข้า แต่ทว่าในวันที่ฝนตกหนัก หรือมีลมแรงด้วยนั้น น้ำฝนก็อาจกระเซ็นกระจาย ไม่ไหลตามรางห่วงโซ่ จึงอาจกล่าวได้ว่า ประโยชน์ใช้สอยของมันมีไม่สมบูรณ์นัก

คุซาริโทอินี้ มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1000 ปี มีใช้กันมาตั้งแต่สมัยเฮอัน รูปแบบและขนาดของคุซาริโทอินี้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เป็นห่วงโซ่กลมๆร้อยต่อๆกันเท่านั้น บางชนิดก็มีลักษณะคล้ายกับถ้วย บางชนิดก็มีลักษณะคล้ายดอกไม้และมีทั้งขนาดเล็ก ใหญ่ ขึ้นอยู่กับสถานที่ๆใช้ ในปัจจุบันนั้นเราจะสามารถพบเห็นคุซาริโทอิได้จากวัดหรือศาลเจ้าต่างๆทั่วไป หรือแม้กระทั่งบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิมก็ยังคงมีใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ระยะหลังบ้านแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่ ก็เริ่มมีการประยุกต์นำเอาคุซาริโทอิ มาเป็นเครื่องตกแต่งบ้านเรือนกันมากขึ้น

Posted by mod at
19:38
│Comments(0)
2015年08月14日
母の日

วันแม่ของไทยเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง วันแม่ของไทยคือวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ แต่สำหรับวันแม่ของญี่ปุ่นจะตรงกับวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ในอดีตวันแม่ของญี่ปุ่นตรงกับวันที่ 6 มีนาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระราชินีโคจุง พระราชชนนีของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต ซึ่งเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แต่ตั้งแต่ปีค.ศ.1949 ได้เปลี่ยนเป็นวันเดียวกันกับวันแม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือ วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมของทุกปี คาดว่าน่าจะเป็นอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ญี่ปุ่น คือ ดอกคาร์เนชั่น ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมที่เลียนแบบมาจากสหรัฐอเมริกาเช่นกัน สื่อถึงความอ่อนหวาน บริสุทธิ์ และอดทน

สำหรับดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ไทยคือ ดอกมะลินั่นเอง ก็น่าจะสื่อความหมายเช่นเดียวกันคือความอ่อนหวาน บริสุทธิ์ งดงาม เป็นที่เคารพยกย่อง

ทั้งประเทศไทยและญี่ปุ่นตามโรงเรียนหรือสถานที่ต่าง ๆ จะจัดให้เด็ก ๆ ได้ทำงานฝีมือเพื่อมอบให้แด่คุณแม่ของตนด้วย
อย่างการ์ดวันแม่ของญี่ปุ่นก็จะเขียนคำอวยพรประมาณนี้ค่ะ

お母さん (Ogaasan)
いつもありがとう (itsumo Arigatou)
これからも宜しく頼みます (Kore kara mo yoroshiku tanomimasu)
いつまでも元気でそばにいてね (Itsumademo genki de soba ni itene)
แม่ค่ะ/ครับ
ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีเสมอมา
ต่อจากนี้ไปก็ขอให้แม่ช่วยดูแลพวกเราอย่างดีเช่นนี้ต่อไปด้วยนะคะ
ขอให้คุณแม่สุขภาพแข็งแรงและอยู่เคียงข้างกันตลอดไปนะคะ
Posted by mod at
19:13
│Comments(0)
2015年08月13日
Gochisosamadeshita
สำหรับคนญี่ปุ่นนั้นการกล่าวคำขอบคุณและคำขอโทษนั้นถือได้ว่าเป็นมารยาทพื้นฐานเลยทีเดียว ถ้าเราอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นหรืออยู่ในประเทศญี่ปุ่น เราคงต้องฝึกการพูดขอบคุณและขอโทษให้ติดปากกันเลย คำขอบคุณทั่วๆ ไปที่เรารู้จักกันดีก็คือคำว่า "どうもありがとうございます" คำนี้สุภาพมากๆ ใช้กับผู้หลักผู้ใหญ่ได้ แต่ถ้าคุยกับเพื่อนจะเหลือแค่ "どうも” หรือ "ありがとう" ก็ไม่ว่ากันนะคะ
แต่อีกคำที่อยากให้จำให้ติดปากเลยก็คือ "ごちそうさまでした" เพราะคำนี้เป็นคำขอบคุณสำหรับเมื่อเวลามีผู้ใหญ่เลี้ยงอาหารเรา หรือแม้แต่เราไปทานอาหารที่ร้านคนเดียว ก่อนกลับก็ควรพูดคำว่า "ごちそうさまでした" ด้วย เพราะถือเป็นมารยาทสำหรับร้านอาหารด้วยว่า เราขอบคุณสำหรับอาหารที่แสนอร่อย ที่พ่อครัวทำให้เราได้ทานด้วย ต้องย้ำว่าเป็นมารยาทที่สำคัญมาก ตัวเองประสบมาโดยตรงเลย ตอนไปอยู่ญี่ปุ่น ก็ไปทานข้าวกับโฮสแฟมิลี่ที่ร้านอาหาร ก่อนกลับโฮสแฟมิลี่ก็พูดกับคนที่ร้าน ส่วนเราก็ทำเฉยๆ ก็ไม่รู้นิ ตอนเรียนก็นึกว่าพูดบนโต๊ะอาหารก็จบ ที่ไหนได้ออกมาจากร้านโดนโฮสแฟมิลี่ตักเตือน ถามว่าไม่รู้ธรรมเนียมนี้เหรอ ถึงกับหน้าชาเลยทีเดียว เพราะคนเตือนเป็นผู้ชาย บอกตรงอายมากๆๆๆๆๆๆ

แต่อีกคำที่อยากให้จำให้ติดปากเลยก็คือ "ごちそうさまでした" เพราะคำนี้เป็นคำขอบคุณสำหรับเมื่อเวลามีผู้ใหญ่เลี้ยงอาหารเรา หรือแม้แต่เราไปทานอาหารที่ร้านคนเดียว ก่อนกลับก็ควรพูดคำว่า "ごちそうさまでした" ด้วย เพราะถือเป็นมารยาทสำหรับร้านอาหารด้วยว่า เราขอบคุณสำหรับอาหารที่แสนอร่อย ที่พ่อครัวทำให้เราได้ทานด้วย ต้องย้ำว่าเป็นมารยาทที่สำคัญมาก ตัวเองประสบมาโดยตรงเลย ตอนไปอยู่ญี่ปุ่น ก็ไปทานข้าวกับโฮสแฟมิลี่ที่ร้านอาหาร ก่อนกลับโฮสแฟมิลี่ก็พูดกับคนที่ร้าน ส่วนเราก็ทำเฉยๆ ก็ไม่รู้นิ ตอนเรียนก็นึกว่าพูดบนโต๊ะอาหารก็จบ ที่ไหนได้ออกมาจากร้านโดนโฮสแฟมิลี่ตักเตือน ถามว่าไม่รู้ธรรมเนียมนี้เหรอ ถึงกับหน้าชาเลยทีเดียว เพราะคนเตือนเป็นผู้ชาย บอกตรงอายมากๆๆๆๆๆๆ

Posted by mod at
19:36
│Comments(0)
2015年08月13日
Sumimasen すみません
ตอนเรียนในชั้นเรียนที่ผ่านๆ มานั้น คำว่า すみません (Sumimasen) ในภาษาญี่ปุ่นนั้นแปลว่า "ขอโทษ" กับ ごめんなさい (Gomennasai) ก็แปลว่า "ขอโทษ" ตอนแรกก็สับสนอยู่เหมือนกัน แต่พอได้ไปใช้ชีวิตจริงในญี่ปุ่นทำให้รู้ว่า すみません นั้น จะใช้ขอโทษก่อนที่จะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น อย่างเช้น เมื่อเราอยากถามทาง หรือขอความช่วยเหลือ ก็กล่าวขึ้นต้นประโยคก่อนเลยว่า
"すみません 近くに コンビニがありませんか" (Sumimasen, Chikakuni Konbini ga arimasenka)
"ขอโทษค่ะ ใกล้ๆ แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อมัยคะ"
แล้วคำว่า "すみません" ก็ยังเป็นภาษาทางการและสุภาพกว่า ごめんなさい ด้วย

แล้วพออยู่ญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ ก็เกิดปัญหาคาใจขึ้นมาอีก ตอนนั้นไปซุปเปอร์มาเก็ต กำลังจะจ่ายตังค์ คุณป้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าทำกระเป๋าตังค์หล่น ก็เลยช่วยเก็บให้คุณป้า คุณป้าก็ตอบกลับมาว่า どうも すみません (Doumo Sumimasen) อ้าวเราเก็บกระเป๋าตังค์ให้ทำไมต้องมาขอโทษเราด้วยล่ะ ทำไมไม่บอกว่า "ขอบคุณ" (ありがとう)ล่ะ พอกลับไปถามโฮสแฟมิลี่ที่อยู่ด้วย เขาก็อธิบายว่า "どうも すみません" นั้น คุณป้าขอบคุณแล้วก็ขอโทษไปพร้อมๆ กัน ที่อุตส่าห์เก็บกระเป๋าตังค์ให้ เป็นนัยว่าขอบคุณที่ทำให้เราลำบากต้องเก็บกระเป๋าตังค์ให้ งั้นถ้าใครช่วยเหลือเรา เราก็สามารถพูดประโยคว่า "どうも すみません" ได้ แล้วทำให้เราดูเป็นคนญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นด้วย
"すみません 近くに コンビニがありませんか" (Sumimasen, Chikakuni Konbini ga arimasenka)
"ขอโทษค่ะ ใกล้ๆ แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อมัยคะ"
แล้วคำว่า "すみません" ก็ยังเป็นภาษาทางการและสุภาพกว่า ごめんなさい ด้วย

แล้วพออยู่ญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ ก็เกิดปัญหาคาใจขึ้นมาอีก ตอนนั้นไปซุปเปอร์มาเก็ต กำลังจะจ่ายตังค์ คุณป้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าทำกระเป๋าตังค์หล่น ก็เลยช่วยเก็บให้คุณป้า คุณป้าก็ตอบกลับมาว่า どうも すみません (Doumo Sumimasen) อ้าวเราเก็บกระเป๋าตังค์ให้ทำไมต้องมาขอโทษเราด้วยล่ะ ทำไมไม่บอกว่า "ขอบคุณ" (ありがとう)ล่ะ พอกลับไปถามโฮสแฟมิลี่ที่อยู่ด้วย เขาก็อธิบายว่า "どうも すみません" นั้น คุณป้าขอบคุณแล้วก็ขอโทษไปพร้อมๆ กัน ที่อุตส่าห์เก็บกระเป๋าตังค์ให้ เป็นนัยว่าขอบคุณที่ทำให้เราลำบากต้องเก็บกระเป๋าตังค์ให้ งั้นถ้าใครช่วยเหลือเรา เราก็สามารถพูดประโยคว่า "どうも すみません" ได้ แล้วทำให้เราดูเป็นคนญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นด้วย
Posted by mod at
19:20
│Comments(0)
2015年08月11日
รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
รถไฟฟ้ามาหานะเธอ..... จะบอกว่าตอนไปญี่ปุ่นก็แบบสับสนเล็กน้อยกับการใช้รถไฟฟ้าของญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่การขึ้นหรือเปลี่ยนสายเท่านั้น แต่การนั่งอยู่ในรถไฟฟ้าก็แอบงง เพราะมารยาทการใช้รถไฟฟ้าของญี่ปุ่นต่างกับไทย อย่างเช่นในรถไฟฟ้าของญี่ปุ่นสามารถทานอาหารหรือน้ำได้ แต่ที่ประเทศไทยห้ามทานอาหารและเครื่องดื่มในรถไฟฟ้า ไอ้เราก็ลืมไป ทนนั่งหิวข้าวหิวน้ำอยู่ได้ เรียกว่าปล่อยให้ท้องร้องกันเลยทีเดียว
ต่อไปก็คือในรถไฟฟ้าญี่ปุ่นเขาจะไม่คุยโทรศัพท์กันเลย ไอ้คนไทยเราหรือก็ชอบคุยโทรศัพท์เสียด้วย แต่ไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็ไม่มีเพื่อนคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว เราว่าคนไทยเป็นสังคมก้มหน้าแล้ว ญี่ปุ่นยิ่งกว่าเสียอีก เรียกได้ว่าพอขึ้นรถไฟฟ้าฉันก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ก้มหน้ากดโทรศัพท์กันอย่างเดียวเลย
อีกอย่างที่แอบตกใจ นั่งอยู่เพลินๆ ก็จะมีคนแต่งชุดฟอร์มเปิดประตูที่เชื่อมระหว่างขบวนรถไฟเข้ามา แล้วก็ยืนโค้งคำนับ 1 ทีก่อนเดินตรวจในขบวนรถไฟ เขาก็คือพนักงานตรวจตั๋วและความเรียบร้อยบนรถไฟฟ้านั่นเอง เผื่อมีผู้โดยสารที่ไม่สบายหรือไม่น่าไว้วางใจนั่นเอง
ต่อไปก็คือในรถไฟฟ้าญี่ปุ่นเขาจะไม่คุยโทรศัพท์กันเลย ไอ้คนไทยเราหรือก็ชอบคุยโทรศัพท์เสียด้วย แต่ไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็ไม่มีเพื่อนคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว เราว่าคนไทยเป็นสังคมก้มหน้าแล้ว ญี่ปุ่นยิ่งกว่าเสียอีก เรียกได้ว่าพอขึ้นรถไฟฟ้าฉันก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ก้มหน้ากดโทรศัพท์กันอย่างเดียวเลย
อีกอย่างที่แอบตกใจ นั่งอยู่เพลินๆ ก็จะมีคนแต่งชุดฟอร์มเปิดประตูที่เชื่อมระหว่างขบวนรถไฟเข้ามา แล้วก็ยืนโค้งคำนับ 1 ทีก่อนเดินตรวจในขบวนรถไฟ เขาก็คือพนักงานตรวจตั๋วและความเรียบร้อยบนรถไฟฟ้านั่นเอง เผื่อมีผู้โดยสารที่ไม่สบายหรือไม่น่าไว้วางใจนั่นเอง
Posted by mod at
20:00
│Comments(0)